Oil Futures การลงทุนทางเลือก ที่ไม่ควรมองข้าม
ปัจจุบันการลงทุนผ่าน สินค้าโภคภัณฑ์ (Commodities) ถือว่าเป็นทางเลือกการลงทุนที่ไม่ควรมองข้าม เพราะมันสามารถสร้างผลตอบแทนได้อย่างมหาศาล ไม่แพ้หลักทรัพย์อื่นๆ เช่น หุ้นหรือตราสารหนี้ เพียงแต่สินค้าโภคภัณฑ์นี้ จะผันผวนไปตามความต้องการของตลาด จากอุปสงค์อุปทาน ความคาดหวัง และภาวะเศรษฐกิจ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาสินค้าโภคภัณฑ์ สามารถปรับตัวขึ้นลงในแต่ละปีไม่ต่ำกว่า 30% หรือ บางปีให้ผลตอบแทนสูงถึง100% เช่น สังกะสี หรือทองแดง ที่เคยเกิดขึ้นในปี 2003 และปี2009 ตามลำดับ
โดยปัจจุบัน ตราสารโภคภัณฑ์ ได้เป็นทางเลือกการลงทุน ให้กับนักลงทุนทั่วโลก โดยมีการซื้อขายผ่านกองทุนรวมเช่น ETF funds หรือสัญญาซื้อขายล่วงหน้า ทั้งนี้ การแบ่งตราสารเหล่านี้สามารถแบ่งเป็นกลุ่มได้เป็น
1. กลุ่มโลหะ (Metal) ได้แก่ เงิน, สังกะสี, ทองแดง, อลูมิเนียม ที่จะใช้เป็นวัตถุดิบของชิ้นส่วนการผลิตในอุตสาหะกรรม ซึ่งมักจะปรับตัวขึ้นลงตามสภาวะเศรษฐกิจ หรือตัวเลขการผลิตหรือตัวเลขอุตสาหกรรมต่างๆ
2. กลุ่มโลหะมีค่า (Precious Metal) ได้แก่ ทองคำ, เงิน, แพลตตินั่ม, พาราเดียม มักใช้เป็นตราสารการเงินเพื่อการลงทุน และบางส่วนอาจเป็นวัตถุดิบของชิ้นส่วนอุตสาหกรรม ซึ่งปัจจุบันสัดส่วนของเม็ดเงินที่เข้าลงทุนในตราสารเหล่านี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากที่แนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์ที่ด้อยค่าลงไป จึงทำให้ตราสารเหล่านี้เริ่มมีสภาพ คล้ายเงินสกุลหนี่งได้เลย โดยภาพในช่วง2-3 ปีที่ผ่านมา ทองคำและเงิน มีการพูดถึงมากขึ้นจากกองทุนต่างๆ ประกอบกับความผันผวนที่มากขึ้นตามจึงทำให้ ณ ปัจจุบันเหล่านักเก็งกำไรและนักลงทุน เข้ามาซื้อขายตราสารเหล่านี้ ไม่แตกต่างจากหุ้นหรือตราสารหนี้เลย
3. กลุ่มสินค้าเกษตร (Agriculture) ได้แก่ กาแฟ, ข้าวโพด, ฝ้าย, ถั่วเหลือง หรือน้ำตาล เป็นต้น ซึ่งจะมีความผันแปรไปตามตามกับความต้องการอาหารโลก รวมถึงสภาวะอากาศและการเพาะปลูก ซึ่งแนวโน้มของราคาสินค้าเหล่านี้ มีแต่จะมากขึ้นเรื่อย จากสภาวะประชากรโลกที่มากขึ้น ในขณะที่แหล่งผลิตและกำลังผลิตมีจำนวนน้อยกว่า จึงถือว่าตราสารนี้นับเป็นตราสารอันหนึ่งที่น่าสนใจในอนาคต
4. กลุ่มพลังงาน (Energy) เช่น ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ หรือ น้ำมัน ซึ่งกลุ่มนี้จะผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจโลก ความต้องการด้านพลังงาน สภาวะสงคราม หรือสภาวะเงินเฟ้อ ซี่งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา น้ำมันจะมีความสำคัญต่อนักลงทุนมากขึ้นเพราะเป็นสสารที่ใช้แล้วหมดไป จึงทำให้เกิดสภาวะการเก็งกำไรอย่างมากในปี 2008 และถือเป็นตัวชี้นำในดัชนีตลาดหุ้นหลายตลาด เนื่องจากราคาน้ำมันมีผลต่อกำไรในหุ้นกลุ่มพลังงานที่มีอยู่ทั่วโลกซึ่งจะมีน้ำหนักการลงทุนอยู่ในสัดส่วนที่มากในดัชนีตลาดหุ้น แต่อย่างไรก็ดี ณ ปัจจุบันสภาวะการเก็งกำไรในกลุ่มพลังงานอาจมีลดลง แต่ความสัมพันธ์ของราคาน้ำมันกับสภาวะเศรษฐกิจและเงินเฟ้อยังคงมีความชัดเจนที่นักลงทุนสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการประเมิน สภาวะการณ์ต่างๆได้
ทั้งนี้โดยภาพรวมจะเห็นว่า ในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจโลกในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา วัฐจักรการเติบโตของตราสารต่างๆในแต่ละช่วง มีอัตราส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เท่ากัน ซึ่งขึ้นอยู่กับช่วงเวลานั้นๆ โลกให้ความสำคัญกับเรื่องใดมากกว่า แต่อย่างไรก็ดีตราสารที่ได้กล่าวมาเบื้องต้น ล้วนแต่มีความสัมพันธ์กับการเติบโตทางเศรษฐกิจ และการอ่อนค่าของค่าเงินดอลลาร์ ดังนั้นนักลงทุนควรจะทำความเข้าใจถึงธรรมชาติ ของตราสารเหล่านั้นว่ามีการเปลี่ยนแปลงจากปัจจัยใดเป็นหลัก
ซึ่งปัจจุบันนี้ตลาดอนุพันธ์แห่งประเทศไทย ได้มีการเพิ่มสินค้า Oil futures เข้ามาซื้อขาย เพื่อเป็นทางเลือกการลงทุนให้กับนักลงทุนในไทย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาถ้าพูดถึงการจัดสินทรัพย์เพื่อการลงทุน น้ำมันถือเป็นตราสารการเงินอันหนึ่งที่จะต้องมีติดไว้ในพอร์ต เนื่องจากเป็นตราสารที่มีความผันแปรไปตามเงินเฟ้อ ซึ่งในอดีตที่ผ่านมา ราคาน้ำมันจะมีการปรับตัวขึ้นเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ในแต่ละรอบของวัฎจักรเศรษฐกิจ ซึ่งหากนักลงทุนใดเลือกการลงทุนในตราสารหนี้เพียงอย่างเดียว แม้ดอกเบี่ยที่ปรับตัวสูงขึ้นตามอย่างไร จะลงทุนเท่าไร ก็ไม่สามารถชนะเงินเฟ้อได้ จึงจำเป็นจะต้องมีการกระจายหลักทรัพย์เข้าไปในหุ้น หรือ น้ำมัน ซึ่งในช่วงต้นการลงทุนในหุ้นอาจจะสร้างผลตอบแทนได้ดี แต่หากเงินเฟ้อมีการปรับตัวขึ้นแรง จากต้นทุนสินค้าที่ปรับตัวสูงขึ้น น้ำมันจะเป็นทางเลือกที่ดีกว่า เพราะราคาจะเกาะไปกับเงินเฟ้อมากที่สุด แต่อย่างไรก็ดี สินค้าน้ำมันถือว่ามีความผันผวนสูง ซึ่งจากกราฟในอดีตจะเห็นได้ว่า นับตั้งแต่ปี2003 หลังจากเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว จากวิกฤติต้มยำกุ้ง 1997 และผ่านยุคฟองสบู่ดอทคอม 2000 ราคาน้ำมันเคยปรับตัวลงต่ำสุดในปี 2001 ที่ประมาณ 17-18 เหรียญดอลล่าสหรัฐต่อบาเรลล์ และปรับตัวขึ้นสูงสุดในปี 2008 ที่ระดับ145 เหรียญ และปรับตัวลงมาม้วนเดียวที่จุดต่ำสุดในระดับ 35เหรียญ ในระยะเวลาเพียง 6เดือน หรือคิดเป็นการเปลี่ยนแปลง -75% อย่างไรก็ดีในเดือนสิงหาปี 2011 ราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นสูงสุดถึง 127เหรียญ (อ้างอิงน้ำมัน Brent)
จึงทำให้เห็นได้ว่าจากอดีตถึงปัจจุบัน การซื้อขายพลังงานนั้นมีความสำคัญและมีความสัมพันธ์ทั้งในทางตรงหรือทางอ้อมต่อผู้ลงทุน ซึ่งในอดีตนักลงทุนหลายท่าน อาจเลือกการลงทุนในหุ้นพลังงานโดยตรง เพื่อต้องการให้ผลตอบแทนเกาะไปกับกระแสการลงทุน เพราะผลกำไรบริษัทเหล่านี้ก็จะปรับตัวไปตามราคาน้ำมันที่ขึ้นลงเช่นกัน เช่น หุ้น PTT, PTTEP, TOP เป็นต้น แต่เมื่อมีหุ้นหลายตัวอยู่ในกลุ่มพลังงาน การกระจายการลงทุนที่จะให้ผลตอบแทนได้ใกล้เคียงกับค่าเฉลี่ยอาจต้องใช้เงินจำนวนมากเพราะต้องมีการกระจายซื้อหุ้นหลายตัวเข้าในพอร์ต ดังนั้น จึงได้เกิดการลงทุนทางเลือกประเภทหนึ่ง คือ กองทุนETF พลังงาน ซึ่งในช่วงปี2008 ทางบลจ.ทหารไทย จึงได้ออกหน่วยลงทุนที่ลงทุนในหุ้นพลังงาน และแบ่งน้ำหนักการลงทุนที่ล้อไปกับ SET Energy เลย ซึ่ง ETF ตัวนี้ชื่อว่า ENGY โดยผลตอบแทนการลงทุนแทบจะไม่ต่างจากตัว index ของ SET Energy เลย จากตัวอย่างภาพด้านล่าง
แต่อย่างไรก็ดี ก็มีนักลงทุนหลายคนเห็นว่าราคาหุ้นพลังงานเหล่านี้ บางครั้งก็ไม่ได้สะท้อนถึงราคาน้ำมันที่เปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ดังนั้นหากสามารถลงทุนจากราคาน้ำมันโดยตรง น่าจะมีประโยชน์กว่า ในแง่ของการที่จะใช้ ตราสารการเงินที่อ้างอิงราคาน้ำมัน เป็นเครื่องมือในการป้องกันเงินเฟ้อ ต้นทุนการขนส่ง หรือ การกำหนดผลตอบแทนให้ไปในทางเดียวกับสภาวะเศรษฐกิจ
จีงทำให้เกิดกองทุน ETF ที่มีการซื้อขายสัญญาราคาน้ำมันในต่างประเทศ โดยจะมีความผันแปรไปตามราคาน้ำมันโลก ซึ่งเราก็จะเห็นว่านักลงทุนไทย ต้องลงทุนผ่านกองทุนรวมซึ่งจะเป็น FIF หรือ Foreign investement Funds คือมีการตั้งกองทุนเพื่อซื้อกองทุนที่ลงทุนในน้ำมันอีกที โดยในทีผ่านมามี บลจ.หลายที่ ที่ออกตราสารลักษณะเหล่านี้ โดยจะอ้างอิงเป็นราคาน้ำมันจาก West Texas (WTI) เช่น IOIL (บลจ.เอ็มเอฟซี), KOIL (บลจ.กสิกร), TOIL(บลจ.ทิสโก้) เป็นต้น ซี่งแม้ว่าผลตอบแทนที่ผ่านมาจะอ้างอิงไปกับราคาน้ำมัน WTI เสมอ แต่โดยรวมผลตอบแทนก็น้อยกว่าราคาน้ำมันจริงที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน เพราะกองทุนเหล่านี้ มีค่าธรรมเนียมค่อนข้างสูง จึงทำให้ผู้ลงทุนนั้นเสียเปรียบ ในเชิ่งค่าธรรมเนียมที่มาก และการซื้อขายที่มีแค่วันละครั้ง ซึ่งผู้ลงทุนจะมีความเสี่ยงด้านราคา และเสียเปรียบในเรื่องจังหวะการลงทุนเช่นกัน โดยความแตกต่างของผลตอบแทนของแต่ละกองทุนก็จะเกิดจากค่าธรรมเนียมและวิธีการป้องกันความเสี่ยงด้านค่าเงิน จึงทำให้ผลตอบแทนรวมของแต่ละกองแม้แกว่งตัวไปตามทิศทางตลาดแต่ก็มีอัตราส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่เท่ากัน
ดังนั้น OIL Futures จะเป็นคำตอบให้กับใครอีกหลายคน ทั้งในแง่ของผู้ลงทุนและผู้ประกอบการที่จะใช้ลงทุนไปการเติบโตเศรษฐกิจ และใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง ซึ่งในโอกาสต่อไปผมคงมาพูดให้ฟังว่าเราใช้ ตราสารเหล่านี้ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุน ได้อย่างไรบ้างครับ
by dr_morky