ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงต่อเนื่องกว่า 3สัปดาห์ นับจากทำจุดสูงสุดที่ 886จุดในเดือน พ.ค.ที่ผ่านมาหรือ นับเป็นการอ่อนตัวลงกว่า -10% ซึ่งประเด็นที่น่าจับตายังคงเป็นการไหลออกของเงินลงทุนในภูมิภาคเอเซีย หลังจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังคงขายหุ้นไทยออกมา ประกอบกับการอ่อนค่าของเงินบาทที่ยังคงอ่อนตัวต่อเนื่อง
โดยปัจจุบันภาพการลงทุนระยะกลางของตลาดหุ้นไทยยังคงไปด้วยความกังวลจากสถานการณ์การเมือง และอัตราเงินเฟ้อที่ยังสูงขึ้นส่งผลให้มีโอกาสที่ทำให้ดอกเบี้ยปรับตัวสูงขึ้นตามโดยล่าสุดจะเห็นว่าธนาคารส่วนใหญ่ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ซึ่งได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของนักลงทุนน้อยลง จากมุมมองทางเทคนิคจะเห็นว่า SET index ในระดับ week ได้เกิดสัญญาณการเกิดโมเมนตัมขาลงจาก MACD ตัดเส้น Zero Line เป็นสัปดาห์แรก ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นอ่อนตัวต่อเนื่องหรือแกว่งตัวไปด้านข้างอีกอย่างน้อย 2 สัปดาห์ แต่อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าจะเกิดการกลับตัวระยะสั้นจากสัญญาณ Bullish Divergence ในระดับ 120นาที่ ซึ่งอาจทำให้ดัชนี แกว่งตัวขึ้นได้ ถึงระดับ 800-820จุด
ส่วนแนวรับสำคัญด้านล่าง จะมีที่บริเวณ 760 + 10จุด
โดยประเด็นที่น่าจับตาคือ
1.ดัชนีวัดความแข็งแกร่งของเงินดอลลาร์ (DXYO,Dollar Index) สร้างสถิติ ใหม่ปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบ 15 สัปดาห์ และยังมีโอกาสปรับตัวแข็งค่าต่อเนื่อง ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทยังคงอ่อนตัวต่อเนื่องจากนี้ได้ โดยเราเชื่อว่า แนวพักตัวของค่าเงินบาทจะอยู่ที่ 33.50-33.60บาท ซึ่งหมายความว่า แรงขายของนักลงทุนต่างชาติจะเริ่มน้อยลงเมื่อเงินบาททรงตัวได้ในระดับดังกล่าว
2.นักลงทุนต่างชาติขายต่อเนื่องกว่า 3สัปดาห์ กว่า -33,161 ล้านบาท โดยหากมีการขายต่อเนื่องอีก 5,600 ล้านบาท จะเป็นจุดต่ำสุดของยอดสะสมสุทธิ ในเดือนม.ค. ที่ต่างชาติเคยขายมาแล้วในช่วงปลายปี ซึ่งเราเชื่อว่าจะเป็นแนวรับสำคัญที่ต่างชาติไม่ควรขายมากกว่านี้
กลยุทธ์การลงทุน
ภาพรวมหุ้น ใน SET50 อ่อนตัวอยู่ใน Zone C และ Zone D เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นหลายตัวเพิ่งย้ายมาอยู่ใน Zone D ซึ่งหมายความว่าต้องใช้เวลาพักตัวอีก ช่วงเวลาหนึ่งเพื่อกลับมาเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ดังนั้นเราจึงแนะนำรอจังหวะ เพื่อซื้อหุ้นกลับอีกครั้งในช่วงปลายสัปดาห์ เป็นลักษณะทะยอยสะสม หรือซื้อเพื่อรอการแกว่งตัว เพื่อทำกำไรระยะสั้นไปก่อน โดยนักลงทุนระยะกลางถึงยาว อาจต้องรอหุ้นย้ายกลับมา Zone A ก่อนถึงจะเริ่มสะสมหุ้นอีกครั้ง
หุ้นทีมีการย้าย Zone ในสัปดาห์นี้เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว
Positive Momentum
Zone A ได้แก่ PTTCH
Zone B ได้แก่ ไม่มี
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone A และ B ล้วนเป็นหุ้นที่น่าจับตา สำหรับการลงทุน
Negative Momentum
Zone C ได้แก่ GLOW, MINT , PTT, TTA
Zone D ได้แก่ SET, SET50, TDEX, S50M08,S50U08, S50Z08,S50H09, BAY, SCC, CCET, PSL, RATCH, ITD, KK, AMATA, SCB, LH
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone C และ D คือหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน หรือขายทำกำไร
Download ตาราง i-Chart SET50 13Jun08.pdf (200.92 KB)
คำแนะนำ
หุ้นที่เพิ่งมีการเปลียน ข้าม Zone มักจะเป็นการปรับตัวต่อเนื่องระดับกลาง ซึ่งอาจเกิด Momentum ต่อเนื่อง ได้อย่างน้อย 3 สัปดาห์
(Positive Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งย้าย Zone มาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเกิดภาพในเชิงบวก โดยสามารถซื้อถือ ระยะกลาง ซึ่งนักลงทุนอาจพิจารณาจากกราฟทางเทคนิค หรือประเมิณสัญญาณ indicator จากตาราง i-Technical SET50 ได้
A หรือ B เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านบวก เช่น D->A, A->B, C->B
(Negative Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งมีการเปลียนย้าย Zone มาอยู่ใน Zone ลบ จะสามารถทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องได้ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นดังกล่าว หรือ อาจขายเพิ่อ Short sell หรือ switch เปลี่ยนตัวเล่น
C หรือ D เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านลบ เช่น A->D, B->C,C->D
นิยาม ตาราง i- Chart SET50
คือ ตารางที่ดูแนวโน้มการเคลื่อนที่ของหุ้นใน SET50 ว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือขาลงด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยการใช้สัญญาณ indicator ต่างๆ เพื่อบอกทิศทางและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซี่งจะใช้ข้อมูลระดับสัปดาห์มาเป็นตัวกำหนด โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกหุ้น ที่อยู่ในแนวโน้มต่างๆจาก STOCK TIME ZONE แบบ A, B, C, D และยังสามารถดูข้อมูลอื่นประกอบ เช่น Price over, Sma cross ที่จะบอกถึงความเชื่อมั่นที่ดี หากเป็น +
Zone A คือ หุ้นที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น พร้อมจะปรับตัวขึ้นแรงหาก MACD Cross Zero line แล้วข้ามเป็น Zone B (เป็นช่วงสะสมหุ้น,หรือหาจังหวะซื้อ) ซึ่งบางกรณีอาจเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ได้หากราคาหุ้นปัจจุบัน ยังปรับตัวลงต่อ แต่ในความหมายของ Zone A นี้หมายความว่าแรงขายเริ่มลดน้อยถอยลง และมีโอกาสที่จะปรับเป็นขาขึ้นในไม่ช้า
Zone B คือ หุ้นที่เป็นขาขึ้นในระดับ Bullish (สภาวะกระทิง)ซึ่งนักลงทุนจะมีความมั่นใจและหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งสามารถถือหุ้น และซื้อเก็งกำไรได้(Trading Buy)
Zone C คือ หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง และควรทำกำไร เพราะหุ้นได้อยู่ในแนวโน้มขาลงแล้ว หรือควรเปลี่ยนตัวเล่น (Reduce, Switch)
Zone D คือ หุ้นที่ยังคงแนวโน้มขาลง ซึ่งยังคงปรับตัวลงลึกรอที่จะกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง (Buy on weekness, Accumulate)
คำนิยามและความหมาย
1) Stock = คือหุ้นจาก SET50 2) Last Trade (Close price, Change price, % change) = ราคาปิดของสัปดาห์, การเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลง 3) Volume Monitor (Volume W,Volume average 5W) = ปริมาณการซื้อขายของจำนวนหุ้นในสัปดาห์, ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยใน5สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเครื่องหมาย(+,-) เป็นการบอกว่ามีปริมาณการซื้อขายหุ้นสัปดาห์นั้นมากกว่าหรือน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย5สัปดาห์ ***(จำนวนเต็มต้องคูณด้วย 1,000หุ้น) 4) Momentum Play (Simple Moving Average 5 weeks[Sma 5W], Simple Moving Average 10 weeks [Sma 10W],Price Over 5 W,Price Over 10 W,Sma cross, RSI Week, SMA 5 weeks ของ RSI (RSI SMA5W) ,MACD cross, Bullish or Bearish) = สัญญานทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวโน้มขึ้น (+)หรือลง(-) อย่างไร โดยจะมีการเรียงสัญญาณทางเทคนิคตาม ความไวของสัญญาณ ตั้งแต่ Price over 5W. หรือ 10W.ราคาปิดที่มากกว่าราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์ หรือ10สัปดาห์ สัญญานเป็น(+) หมายถึงแนวโน้มขึ้น , SMA cross ราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์สูงกว่าราคาเฉลี่ย10สัปดาห์ บอกถึงทิศทางขาขึ้น สัญญานเป็น+ , ส่วนสัญญาน MACD ที่เป็น+ เกิดจากค่าของเส้น MACD Line มากกว่าค่าของ Signal Line, และค่าMACD Line ที่มากกว่าศูนย์บอกถึงสภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bullish) หรือสภาวะหมี (Bearish) หากค่าต่ำกว่าศูนย์ 5) TIME ZONE = บอกถึงสภาวะของหุ้นตัวนั้นว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด 6) Last Zone=สภาวะหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าอยู่โซนใด,Pres.Zone = Present Zone สภาวะหุ้นในสัปดาห์ปัจจุบัน 7) 52-weeks Range = ช่วงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์