ภาพบรรยากาศตลาดหุ้นไทย ในช่วงหลังสงกรานต์สดใส เกิดคาดการณ์กว่าที่หลาย นักวิเคราะห์ตั้งสมมุติฐานไว้ เพราะสัปดาห์ก่อนหน้า ยังเต็มไปด้วยความผันผวนจากตลาดทุนทั่วโลก ซึ่งปัจจัยที่สร้างความกังวลนั้น ยังคงเป็นความผันผวนของดัชนีตลาดหุ้นอเมริกา อย่าง ตลาดหุ้นดาวโจนส์ ที่ แกว่งตัวไปมาในกรอบ 12700- 12200 จุด หรือ 500จุด ตลอดระยะเวลาในช่วง 3สัปดาห์ทีผ่านมา ซึ่งส่งผลให้ภาพการลงทุนโดยรวม ของตลาดหุ้นโลกแกว่งตัวเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดีจะเห็นได้ว่าตลาดหุ้นไทย สามารถ ปรับตัวขึ้นเหนือ 830จุด เป็นครั้งแรกในรอบ 6สัปดาห์ หลังจากตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวขึ้นแรงในคืนวันพุธ และวันศุกร์ ที่ผ่านมา ส่งผลให้ดัชนีสามารถทะลุ แนวต้านสำคัญ ยืนเหนือ 12800จุดได้ ปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 13 สัปดาห์ หลังจากตลาดแกว่งตัวอย่างไร้ทิศทาง อยู่นาน กว่า 3 เดือน โดยเหตุเนื่องจากที่ผลประกอบการของเหล่าบริษัทจดทะเบียน ต่างๆ มิได้มีผลการดำเนินงาน ที่แย่อย่างที่หลายนักวิเคราะห์คาดไว้ ว่าจะได้รับผลกระทบจาก วิกฤติซับไพร์ม
ดังนั้น ตลาดหุ้นในสัปดาห์นี้ จะได้รับอนิสงค์เชิงบวก ต่อบรรยากาศการลงทุน ที่ชัดเจนขึ้นจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นผู้นำอย่างสหรัฐ โดยเราเชื่อว่าดัชนีมีโอกาสปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเป็นอย่างน้อง อีก 2-3 สัปดาห์
โดยประเด็นที่น่าจับตาคือ
1.การอ่อนค่าของเงินสกุลสหรัฐ อเมริกาที่มีแนวโน้มจะอ่อนตัวลงอีกครั้ง หลังจากที่มีการแข็งค่าในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งปัจจุบันมีแนวโน้มที่ ดัชนี Dollar index จะปรับตัวลงทำจุดต่ำสุดครั้งใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้เกิด การไหลออกของเงินทุน ในสหรัฐอเมริกา อีกครั้ง
2. การแข็งค่าของเงินบาท อาจเกิดขึ้นใหม่อีกครั้งจากการอ่อนค่าของค่าเงินสกุลดออลาร์ ซึ่งจะส่งผลเชิงบวกให้กระแสเงินทุนไหลเข้า ดั่งจะเห็นได้จากการเข้าซื้อหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติในช่วงนี้
3. การปรับตัวขึ้นทำ new high ของ Commodities ทั่วโลก โดยเฉพาะ กลุ่มสินค้าเกษตร ดังจะเห็นได้แก่ ราคาข้าว, น้ำตาล, แป้งสาลี, ราคาน้ำมันพืช และอื่นๆ ซี่งจะเป็น Theme Play ให้กับหุ้นต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์เหล่านี้ โดยอาจมีกลุ่ม ด้านอาหาร พ่วงตามมา เพื่อ เป็น Story สำหรับการเล่น เก็งกำไร กับหุ้นเหล่านี้ ได้แก่ KASET,TVO, CPI, CPF, SSF, CM, CFRESH, GFPT, TGPRO เป็นต้น
4. ราคาน้ำมันทั่วโลกปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ ทะลุ 116เหรียญดอลลาร์สหรัฐต่อบาเรล (Light Crude Nymex) ซี่งได้ส่งผลให้ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นสูงสุดในรอบกว่า 4 เดือนเลยทีเดียว ที่ระดับสูงสุดที่ 13.3 เหรียญ โดยปัจจุบันค่าการกลั่น ยังทรงตัวยืนเหนือ ระดับ 9 เหรียญดอลลาร์ มากว่า 3 สัปดาห์แล้ว ดังนั้น การทรงตัวของค่าการกลั่น ในระดับสูงเช่นนี้จะส่งผลเชิงบวกให้หุ้นกลุ่มพลังงาน โดยภาพแนวโน้มทางเทคนิคได้สร้างรูปแบบการปรับตัวขึ้นขนาดใหญ่ได้อีกครั้ง ดังจะเห็นได้จาก กลุ่มหุ้นพลังงาน อย่างเช่น PTT, PTTEP, BANPU, TOP โดย พระรองที่ยังคงน่าสนใจ ก็คือหุ้นกลุ่มปิโตรเคมี ที่จะได้รับผลในเชิงบวกด้วยเช่นกัน อย่าง PTTCH , PTTAR, VNT, TPC,
แนวโน้มการลงทุนตลาดหุ้นไทย จากบทวิเคราะห์ของสถาบันการเงินหลายๆแห่งในต่างประเทศยังมองตลาดหุ้นไทยในเชิงบวก และยังเพิ่มน้ำหนักในการลงทุน ซึ่ง หลังจากที่ประเทศไทย ได้มีการเลือกตั้งมา กว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ได้เห็นถึงสัญญาณการฟื้นตัวด้านการ บริโภคภายในประเทศ และนโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในด้านต่างๆ จาก รัฐบาล ได้แก่มาตราการช่วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในการลดค่าโอน การลดหย่อนภาษีบุคคล หรือการลงทุนในรถไฟฟ้า ล้วนแต่เป็นการ เพิ่มความเชื่อมั่น ต่อผู้ผลิตและผู้บริโภค ว่าเศรษฐกิจประเทศไทย ยังคงดำเนินหน้าต่อไป ซึ่งปัจจัยนี้เองได้ส่งผลให้นักลงทุน ทั้งสถาบันและต่างชาติ เริ่มให้น้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นไทยมากยิ่งขึ้น ดังนั้น แนวโน้มของตลาดหุ้นไทย ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้ามีโอกาสที่จะสดใสต่อเนื่อง จนทำให้ดัชนี SET index เห็น 900จุดอีกครั้ง
กลยุทธ์การลงทุน บรรยากาศการลงทุน เริ่มส่งสัญญาณเชิงบวก จาก แนวโน้มสัญญาณทางเทคนิคในภาพระดับสัปดาห์ หลังจากสัญญาณ MACD ของ SET index ระดับสัปดาห์ เริ่ม ปรับตัวขึ้นเหนือ ศูนย์อีกครั้ง ซี่งบ่งบอกถึงโมเมนตัมเชิงบวก ที่จะเกิดขึ้นต่อเนื่อง อีก 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า โดยกลุ่มอุตสาหกรรมที่ น่าจะเป็นตัวผลักดันของดัชนีในรอบนี้ คือ กลุ่มพลังงาน และ ปิโตรเคมี ที่ แกว่งตัวออกด้านข้างมานานกว่า 4 เดือนที่ผ่านมา ที่จะกลับมาเป็นผู้นำอีกครั้ง ซี่งหุ้นกลุ่มเล่นตามที่น่าจับตาคือ กลุ่มหลักทรัพย์ที่ อาจมาสร้างสีสัน ให้เห็นจากปริมาณการซื้อขายที่หนาแน่น และสภาวะตลาดที่จะกลับมาคึกคักต่อจากนี้ได้
หุ้นทีมีการย้าย Zone ในสัปดาห์นี้เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว
Positive Momentum
Zone A ได้แก่ PTTAR, TOP, TTA, PTT
Zone B ได้แก่ SET, RATCH, PTTEP
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone A และ B ล้วนเป็นหุ้นที่น่าจับตา สำหรับการลงทุน
Negative Momentum
Zone C ได้แก่ MINT
Zone D ได้แก่ AOT
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone C และ D คือหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน หรือขายทำกำไร
คำแนะนำ
หุ้นที่เพิ่งมีการเปลียน ข้าม Zone มักจะเป็นการปรับตัวต่อเนื่องระดับกลาง ซึ่งอาจเกิด Momentum ต่อเนื่อง ได้อย่างน้อย 3 สัปดาห์
(Positive Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งย้าย Zone มาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเกิดภาพในเชิงบวก โดยสามารถซื้อถือ ระยะกลาง ซึ่งนักลงทุนอาจพิจารณาจากกราฟทางเทคนิค หรือประเมิณสัญญาณ indicator จากตาราง i-Technical SET50 ได้
A หรือ B เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านบวก เช่น D->A, A->B, C->B
(Negative Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งมีการเปลียนย้าย Zone มาอยู่ใน Zone ลบ จะสามารถทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องได้ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นดังกล่าว หรือ อาจขายเพิ่อ Short sell หรือ switch เปลี่ยนตัวเล่น
C หรือ D เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านลบ เช่น A->D, B->C,C->D
Download ตาราง i-Chart SET50 18Apr08.pdf
นิยาม ตาราง i- Chart SET50
คือ ตารางที่ดูแนวโน้มการเคลื่อนที่ของหุ้นใน SET50 ว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือขาลงด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยการใช้สัญญาณ indicator ต่างๆ เพื่อบอกทิศทางและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซี่งจะใช้ข้อมูลระดับสัปดาห์มาเป็นตัวกำหนด โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกหุ้น ที่อยู่ในแนวโน้มต่างๆจาก STOCK TIME ZONE แบบ A, B, C, D และยังสามารถดูข้อมูลอื่นประกอบ เช่น Price over, Sma cross ที่จะบอกถึงความเชื่อมั่นที่ดี หากเป็น +
Zone A คือ หุ้นที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น พร้อมจะปรับตัวขึ้นแรงหาก MACD Cross Zero line แล้วข้ามเป็น Zone B (เป็นช่วงสะสมหุ้น,หรือหาจังหวะซื้อ) ซึ่งบางกรณีอาจเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ได้หากราคาหุ้นปัจจุบัน ยังปรับตัวลงต่อ แต่ในความหมายของ Zone A นี้หมายความว่าแรงขายเริ่มลดน้อยถอยลง และมีโอกาสที่จะปรับเป็นขาขึ้นในไม่ช้า
Zone B คือ หุ้นที่เป็นขาขึ้นในระดับ Bullish (สภาวะกระทิง)ซึ่งนักลงทุนจะมีความมั่นใจและหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งสามารถถือหุ้น และซื้อเก็งกำไรได้(Trading Buy)
Zone C คือ หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง และควรทำกำไร เพราะหุ้นได้อยู่ในแนวโน้มขาลงแล้ว หรือควรเปลี่ยนตัวเล่น (Reduce, Switch)
Zone D คือ หุ้นที่ยังคงแนวโน้มขาลง ซึ่งยังคงปรับตัวลงลึกรอที่จะกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง (Buy on weekness, Accumulate)
คำนิยามและความหมาย
1) Stock = คือหุ้นจาก SET50 2) Last Trade (Close price, Change price, % change) = ราคาปิดของสัปดาห์, การเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลง 3) Volume Monitor (Volume W,Volume average 5W) = ปริมาณการซื้อขายของจำนวนหุ้นในสัปดาห์, ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยใน5สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเครื่องหมาย(+,-) เป็นการบอกว่ามีปริมาณการซื้อขายหุ้นสัปดาห์นั้นมากกว่าหรือน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย5สัปดาห์ ***(จำนวนเต็มต้องคูณด้วย 1,000หุ้น) 4) Momentum Play (Simple Moving Average 5 weeks[Sma 5W], Simple Moving Average 10 weeks [Sma 10W],Price Over 5 W,Price Over 10 W,Sma cross, RSI Week, SMA 5 weeks ของ RSI (RSI SMA5W) ,MACD cross, Bullish or Bearish) = สัญญานทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวโน้มขึ้น (+)หรือลง(-) อย่างไร โดยจะมีการเรียงสัญญาณทางเทคนิคตาม ความไวของสัญญาณ ตั้งแต่ Price over 5W. หรือ 10W.ราคาปิดที่มากกว่าราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์ หรือ10สัปดาห์ สัญญานเป็น(+) หมายถึงแนวโน้มขึ้น , SMA cross ราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์สูงกว่าราคาเฉลี่ย10สัปดาห์ บอกถึงทิศทางขาขึ้น สัญญานเป็น+ , ส่วนสัญญาน MACD ที่เป็น+ เกิดจากค่าของเส้น MACD Line มากกว่าค่าของ Signal Line, และค่าMACD Line ที่มากกว่าศูนย์บอกถึงสภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bullish) หรือสภาวะหมี (Bearish) หากค่าต่ำกว่าศูนย์ 5) TIME ZONE = บอกถึงสภาวะของหุ้นตัวนั้นว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด 6) Last Zone=สภาวะหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าอยู่โซนใด,Pres.Zone = Present Zone สภาวะหุ้นในสัปดาห์ปัจจุบัน 7) 52-weeks Range = ช่วงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์