สภาวะตลาดหุ้นในช่วง 2-3 สัปดาห์ที่ผ่านมา ยังคงแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งถึงว่ามีการเปลียนแปลงน้อยมาก อยู่ในกรอบ 816-832จุด ซึ่งส่วนใหญ่จะเปลี่ยนแปลงต่อวันไม่เกิน 10จุด ซึ่งสาเหตุสำคัญ คือความไม่แน่นอนทางการเมืองประกอบกับ การหยุดยาวในช่วงเทศกาลสงกรานต์
โดยบรรยากาศตลาดหุ้นทั่วโลก ก็ยังคงแกว่งต้วอยู่ในกรอบแคบๆ เช่นกัน ซึ่งความกังวล ต่อตลาดหุ้นสหรัฐอเมริกา ยังเป็นปัจจัยหลักที่กำหนดทิศทางของตลาดโลก แต่อย่างไรก็ดี จะเริ่มเห็นว่าตลาดหุ้นบางประเทศ มีการแกว่งตัวที่ไม่สอดคล้องกับทิศทางของตลาดหุ้นสหรัฐให้เห็นบ้างแล้ว
ซึ่งแสดงให้เห็นว่า ข่าวความกังวลเรื่องเศรษฐกิจสหรัฐและวิกฤติซับไพร์ม ได้ส่งผลรับรู้ต่อตลาดหุ้นในหลายประเทศไปแล้ว ดังนั้นการผันผวนของตลาดหุ้นสหรัฐในสัปดาห์นี้ อาจไม่ส่งผลต่อทุกตลาด ซึ่งภาพการเคลื่อนที่ของดัชนีดาวโจนส์และแนสแดกในวันศุกร์ที่ผ่านมาบ่งชี้ถึง ความกังวลที่สามารถทำให้ดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงต่อเนื่องทดสอบจุดแนวรับสำคัญที บริเวณ 11,700จุด ซึ่งการอ่อนตัวในสิ้นสัปดาห์ที่ปิดตัวต่ำกว่า 12,000จุด ก็จะทำให้ภาพระยะกลางของดัชนีดาวโจนส์ปรับตัวลงต่อได้อีก กว่า 1,000จุด เพื่อ ทดสอบแนวรับถัดไปบริเวณ 11,000จุด
ประเด็นที่น่าจับตา
1.ในช่วงนี้จะเริ่มมีการประกาศผลประกอบการของตลาดหุ้นไทยในกลุ่มการเงิน และธนาคาร ซึ่งอาจส่งผลต่อดัชนีในเชิงลบได้ จากการขายทำกำไร ของหุ้นต่างๆ เมื่อรับทราบข่าวจากผลประกอบการแล้ว
2.ดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐ อาจเป็นตัวสร้างแรงกดดันต่อดัชนีทั่วโลก หลังจากเริ่มทราบข่าวผลประกอบการของหุ้นในหลายบริษัท ว่ามีผลกำไรที่น้อยลง หลังจากเศรษฐกิจของอเมริกาที่ชะลอตัว และยังคงได้รับผลกระทบต่อ วิกฤติซับไพร์ม
3.ค่าเงิน Dollar Index เริ่มแกว่งตัวในกรอบแคบ ซึ่งมีโอกาสที่จะปรับแข็งค่าขึ้นได้ หากมีการ Break กรอบ สามเหลี่ยม ทะลุขึ้นเหนือระดับ 73 ซึ่งจะส่งผลให้ค่าเงินบาทอ่อนตัวขึ้นไปได้อีก ซึ่งจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติ เป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องได้อีก หลังจากที่ เป็นยอดขายสุทธิต่อเนื่องในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็นปัจจัยลบต่อตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ได้
4.แนวโน้มหุ้นกลุ่มธนาคารกำลังสร้างจุดสูงสุดใหม่ โดยมีหุ้นกลุ่มพลังงาน และปิโตรเคมี มีแนวโน้มที่จะเป็นตัวเสริม และกำลังที่จะปรับตัวขึ้นอีกครั้ง ดังนั้น หาก SET index จะแข็งแรง และยืนอยู่ได้ คงต้องเฝ้าติดตามหุ้นเหล่านี้ เป็นหลัก
กลยุทธ์การลงทุน
แม้ว่าหุ้นตลาดหุ้นไทยในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาจะไม่ได้ไปไหน แต่จะเห็นว่ามี หุ้นขนาดเล็กและหุ้นเก็งกำไร ปรับตัวขึ้นแรง โดยอาศัยจังหวะที่ ตลาดยังไม่มีความแน่นอน ซึ่งจะเห็นว่าหุ้นเก็งกำไรเหล่านี้ ล้วนปรับตัวขึ้นกันไปหมดแล้วเป็นส่วนใหญ่ ดังนั้นเราเชื่อว่าสัปดาห์นี้ไม่ควรที่จะไล่หุ้นเหล่านี้ อีกแล้ว แต่ควรหาจังหวะ ซื้อตามหุ้นตัวใหญ่ เช่นกลุ่มปิโตรเคมี และพลังงาน เมื่อดัชนีสามารถปิดตัวเหนือ 830จุดอีกครั้ง
หุ้นทีมีการย้าย Zone ในสัปดาห์นี้เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว
Positive Momentum
Zone A ได้แก่ TRUE, BAY, RCL, THAI, GLOW, PTTCH
Zone B ได้แก่ CPF, KTB, MINT, BEC, KBANK
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone A และ B ล้วนเป็นหุ้นที่น่าจับตา สำหรับการลงทุน
Negative Momentum
Zone C ได้แก่ MAJOR
Zone D ได้แก่ TTA
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone C และ D คือหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน หรือขายทำกำไร
คำแนะนำ
หุ้นที่เพิ่งมีการเปลียน ข้าม Zone มักจะเป็นการปรับตัวต่อเนื่องระดับกลาง ซึ่งอาจเกิด Momentum ต่อเนื่อง ได้อย่างน้อย 3 สัปดาห์
(Positive Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งย้าย Zone มาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเกิดภาพในเชิงบวก โดยสามารถซื้อถือ ระยะกลาง ซึ่งนักลงทุนอาจพิจารณาจากกราฟทางเทคนิค หรือประเมิณสัญญาณ indicator จากตาราง i-Technical SET50 ได้
A หรือ B เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านบวก เช่น D->A, A->B, C->B
(Negative Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งมีการเปลียนย้าย Zone มาอยู่ใน Zone ลบ จะสามารถทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องได้ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นดังกล่าว หรือ อาจขายเพิ่อ Short sell หรือ switch เปลี่ยนตัวเล่น
C หรือ D เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านลบ เช่น A->D, B->C,C->D

Download ตาราง i-Chart SET50 11 Apr 08.pdf
นิยาม ตาราง i- Chart SET50 
คือ ตารางที่ดูแนวโน้มการเคลื่อนที่ของหุ้นใน SET50 ว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือขาลงด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยการใช้สัญญาณ indicator ต่างๆ เพื่อบอกทิศทางและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซี่งจะใช้ข้อมูลระดับสัปดาห์มาเป็นตัวกำหนด โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกหุ้น ที่อยู่ในแนวโน้มต่างๆจาก STOCK TIME ZONE แบบ A, B, C, D และยังสามารถดูข้อมูลอื่นประกอบ เช่น Price over, Sma cross ที่จะบอกถึงความเชื่อมั่นที่ดี หากเป็น +
Zone A คือ หุ้นที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น พร้อมจะปรับตัวขึ้นแรงหาก MACD Cross Zero line แล้วข้ามเป็น Zone B (เป็นช่วงสะสมหุ้น,หรือหาจังหวะซื้อ) ซึ่งบางกรณีอาจเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ได้หากราคาหุ้นปัจจุบัน ยังปรับตัวลงต่อ แต่ในความหมายของ Zone A นี้หมายความว่าแรงขายเริ่มลดน้อยถอยลง และมีโอกาสที่จะปรับเป็นขาขึ้นในไม่ช้า
Zone B คือ หุ้นที่เป็นขาขึ้นในระดับ Bullish (สภาวะกระทิง)ซึ่งนักลงทุนจะมีความมั่นใจและหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งสามารถถือหุ้น และซื้อเก็งกำไรได้(Trading Buy)
Zone C คือ หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง และควรทำกำไร เพราะหุ้นได้อยู่ในแนวโน้มขาลงแล้ว หรือควรเปลี่ยนตัวเล่น (Reduce, Switch)
Zone D คือ หุ้นที่ยังคงแนวโน้มขาลง ซึ่งยังคงปรับตัวลงลึกรอที่จะกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง (Buy on weekness, Accumulate)
คำนิยามและความหมาย
1) Stock = คือหุ้นจาก SET50 2) Last Trade (Close price, Change price, % change) = ราคาปิดของสัปดาห์, การเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลง 3) Volume Monitor (Volume W,Volume average 5W) = ปริมาณการซื้อขายของจำนวนหุ้นในสัปดาห์, ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยใน5สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเครื่องหมาย(+,-) เป็นการบอกว่ามีปริมาณการซื้อขายหุ้นสัปดาห์นั้นมากกว่าหรือน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย5สัปดาห์ ***(จำนวนเต็มต้องคูณด้วย 1,000หุ้น) 4) Momentum Play (Simple Moving Average 5 weeks[Sma 5W], Simple Moving Average 10 weeks [Sma 10W],Price Over 5 W,Price Over 10 W,Sma cross, RSI Week, SMA 5 weeks ของ RSI (RSI SMA5W) ,MACD cross, Bullish or Bearish) = สัญญานทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวโน้มขึ้น (+)หรือลง(-) อย่างไร โดยจะมีการเรียงสัญญาณทางเทคนิคตาม ความไวของสัญญาณ ตั้งแต่ Price over 5W. หรือ 10W.ราคาปิดที่มากกว่าราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์ หรือ10สัปดาห์ สัญญานเป็น(+) หมายถึงแนวโน้มขึ้น , SMA cross ราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์สูงกว่าราคาเฉลี่ย10สัปดาห์ บอกถึงทิศทางขาขึ้น สัญญานเป็น+ , ส่วนสัญญาน MACD ที่เป็น+ เกิดจากค่าของเส้น MACD Line มากกว่าค่าของ Signal Line, และค่าMACD Line ที่มากกว่าศูนย์บอกถึงสภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bullish) หรือสภาวะหมี (Bearish) หากค่าต่ำกว่าศูนย์ 5) TIME ZONE = บอกถึงสภาวะของหุ้นตัวนั้นว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด 6) Last Zone=สภาวะหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าอยู่โซนใด,Pres.Zone = Present Zone สภาวะหุ้นในสัปดาห์ปัจจุบัน 7) 52-weeks Range = ช่วงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์