ในที่สุดตลาดหุ้นสหรัฐ ได้เหวียงตัวหลุดกรอบสามเหลี่ยม ปรับตัวลงมาด้านล่าง ซึ่งบอกถึงแนวโน้ม ที่จะเกิดการปรับตัวลงต่อเนื่อง ถึงระดับ 11500จุด และ 10700 จุด โดยสัปดาห์นี้ downjone index ปิดตัวที่ระดับ 11893จุด ซึ่งหากปรับตัวลงถึงแนวดังกล่าว จะทำเห็นการปรับตัวลงของตลาดอีก ราว 3%และ10% ตามลำดับ
แต่อย่างไรก็ดี จะเห็นว่ามีตลาดหุ้นบางตลาดที่ ดูแข็งแรงกว่า ตลาดหุ้นอเมริกา อยู่มากเช่น ไต้หวัน เกาหลี จีน อินโดนีเซีย และไทย
โดยตลาดหุ้นที่น่ากังวลที่สุดคือ นิเคอิ ของญี่ปุ่น อังกฤษ และ ฮ่องกง เพราะอาจปรับตัวลงแรงตามสภาวะตลาดหุ้นอเมริกาได้
จากมุมมองทางเทคนิค ของตลาดหุ้นไทย ณ ปัจจุบัน เริ่มอ่อนตัว เป็นลักษณะ Side way down อีกครั้ง โดยปัจจัย กดดัน ยังคงเป็นเรื่องตลาดต่างประเทศ เป็นส่วนใหญ่ ประกอบกับยังไม่มีปัจจัยบวกใดๆ ในช่วงนี้ ซึ่งนักลงทุน ยังคงถือครองหุ้นรอรับ ปันผลเป็นส่วนใหญ่ แต่หากเมื่อมีการจ่ายปันผล ออกไป อาจทำให้หุ้นหลายตัวอ่อนตัวตามสภาวะตลาดในทันที่ ซึ่งเรามองว่าสัปดาห์นี้ ตลาดหุ้นไทยยังคงอ่อนตัวตามสภาวะตลาด โดย กรอบแนวรับของ ดัชนี SET Index จะอยู่ที่บริเวณ 800 + 10จุด
ซึ่งประเด็นที่น่าจับตาในสัปดาห์นี้คือ
1.ปริมาณการซื้อขายของตลาดหุ้น มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง ซึ่งบอกถึงสภาวะตลาดที่ เริ่มซบเซา หรือชะลอตัว แต่อย่างไรก็ดี บอกถึง การอ่อนตัว ในรอบนี้ อาจไม่น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะจะเห็นว่ามีแรงขายหุ้น น้อยมาก
2. นักลงทุนต่างชาติ มียอดการซื้อขายหุ้นสุทธิ เป็น Net Sell ที่ 1,051ล้านบาท โดยเราเชื่อว่าอาจมีการขายทำกำไร บางส่วนจากหุ้นที่ปรับตัวขึ้นแรง ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา
3.ค่าเงินบาท อาจมีการอ่อนค่าในสัปดาห์นี้ จากสัญญาณทางเทคนิค ว่าจะมีการแข็งค่าของ Dollar index ซึ่งจะส่งผลให้ทองคำ อาจปรับตัวลงได้ด้วยเช่นกัน
4. กลุ่มอุตสาหกรรมที่น่าจับตา มีความแข็งแกร่งกว่าตลาดคือ หุ้นกลุ่มธนาคาร
5.หุ้นกลุ่ม PTT อ่อนตัวหลุด กรอบสามเหลี่ยม เป็นการส่งสัญญาณว่า หุ้นกลุ่มพลังงาน อาจไม่โดดเด่นใน รอบนี้ ซึ่งรวมถึงกลุ่มพลังงานและ ปิโตรเคมี
กลยุทธ์การลงทุน
ตลาดหุ้นยังมีแนวโน้ม เป็น Sideway down เลือกหาจังหวะที่หุ้นอ่อนตัว ซื้อหุ้นที่มีแรงรับเยอะ หรือ อ่อนตัวน้อยกว่าตลาด ซึ่งจะเห็นว่าแม้หุ้น มีการอ่อนตัว แต่นับว่ามีแรงขายน้อย โดยเรายังคงแนะนำถือเงินสดไว้บางส่วน หรือ ประมาณ 30% ของ port ซึ่งเราเชื่อว่าสัปดาห์ นี้จะเป็น สัปดาห์ของการเก็งกำไร ในหุ้นตัวเล็กอีกครั้ง
หุ้นทีมีการย้าย Zone ในสัปดาห์นี้เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว
Positive Momentum
Zone A ได้แก่ ไม่มี
Zone B ได้แก่ AMATA
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone A และ B ล้วนเป็นหุ้นที่น่าจับตา สำหรับการลงทุน
Negative Momentum
Zone C ได้แก่ ITD, BEC
Zone D ได้แก่ BH , TRUE
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone C และ D คือหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน หรือขายทำกำไร
คำแนะนำ
หุ้นที่เพิ่งมีการเปลียน ข้าม Zone มักจะเป็นการปรับตัวต่อเนื่องระดับกลาง ซึ่งอาจเกิด Momentum ต่อเนื่อง ได้อย่างน้อย 3 สัปดาห์
(Positive Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งย้าย Zone มาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเกิดภาพในเชิงบวก โดยสามารถซื้อถือ ระยะกลาง ซึ่งนักลงทุนอาจพิจารณาจากกราฟทางเทคนิค หรือประเมิณสัญญาณ indicator จากตาราง i-Technical SET50 ได้
A หรือ B เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านบวก เช่น D->A, A->B, C->B
(Negative Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งมีการเปลียนย้าย Zone มาอยู่ใน Zone ลบ จะสามารถทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องได้ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นดังกล่าว หรือ อาจขายเพิ่อ Short sell หรือ switch เปลี่ยนตัวเล่น
C หรือ D เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านลบ เช่น A->D, B->C,C->D
Download ตาราง i-Chart SET50 07Mar08.pdf (200.63 KB)
นิยาม ตาราง i- Chart SET50
คือ ตารางที่ดูแนวโน้มการเคลื่อนที่ของหุ้นใน SET50 ว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือขาลงด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยการใช้สัญญาณ indicator ต่างๆ เพื่อบอกทิศทางและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซี่งจะใช้ข้อมูลระดับสัปดาห์มาเป็นตัวกำหนด โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกหุ้น ที่อยู่ในแนวโน้มต่างๆจาก STOCK TIME ZONE แบบ A, B, C, D และยังสามารถดูข้อมูลอื่นประกอบ เช่น Price over, Sma cross ที่จะบอกถึงความเชื่อมั่นที่ดี หากเป็น +
zone A คือ หุ้นที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น พร้อมจะปรับตัวขึ้นแรงหาก MACD Cross Zero line แล้วข้ามเป็น Zone B (เป็นช่วงสะสมหุ้น,หรือหาจังหวะซื้อ) ซึ่งบางกรณีอาจเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ได้หากราคาหุ้นปัจจุบัน ยังปรับตัวลงต่อ แต่ในความหมายของ Zone A นี้หมายความว่าแรงขายเริ่มลดน้อยถอยลง และมีโอกาสที่จะปรับเป็นขาขึ้นในไม่ช้า
zone B คือ หุ้นที่เป็นขาขึ้นในระดับ Bullish (สภาวะกระทิง)ซึ่งนักลงทุนจะมีความมั่นใจและหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งสามารถถือหุ้น และซื้อเก็งกำไรได้(Trading Buy)
zone C คือ หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง และควรทำกำไร เพราะหุ้นได้อยู่ในแนวโน้มขาลงแล้ว หรือควรเปลี่ยนตัวเล่น (Reduce, Switch)
zone D คือ หุ้นที่ยังคงแนวโน้มขาลง ซึ่งยังคงปรับตัวลงลึกรอที่จะกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง (Buy on weekness, Accumulate)
คำนิยามและความหมาย
1) Stock = คือหุ้นจาก SET50 2) Last Trade (Close price, Change price, % change) = ราคาปิดของสัปดาห์, การเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลง 3) Volume Monitor (Volume W,Volume average 5W) = ปริมาณการซื้อขายของจำนวนหุ้นในสัปดาห์, ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยใน5สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเครื่องหมาย(+,-) เป็นการบอกว่ามีปริมาณการซื้อขายหุ้นสัปดาห์นั้นมากกว่าหรือน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย5สัปดาห์ ***(จำนวนเต็มต้องคูณด้วย 1,000หุ้น) 4) Momentum Play (Simple Moving Average 5 weeks[Sma 5W], Simple Moving Average 10 weeks [Sma 10W],Price Over 5 W,Price Over 10 W,Sma cross, RSI Week, SMA 5 weeks ของ RSI (RSI SMA5W) ,MACD cross, Bullish or Bearish) = สัญญานทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวโน้มขึ้น (+)หรือลง(-) อย่างไร โดยจะมีการเรียงสัญญาณทางเทคนิคตาม ความไวของสัญญาณ ตั้งแต่ Price over 5W. หรือ 10W.ราคาปิดที่มากกว่าราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์ หรือ10สัปดาห์ สัญญานเป็น(+) หมายถึงแนวโน้มขึ้น , SMA cross ราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์สูงกว่าราคาเฉลี่ย10สัปดาห์ บอกถึงทิศทางขาขึ้น สัญญานเป็น+ , ส่วนสัญญาน MACD ที่เป็น+ เกิดจากค่าของเส้น MACD Line มากกว่าค่าของ Signal Line, และค่าMACD Line ที่มากกว่าศูนย์บอกถึงสภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bullish) หรือสภาวะหมี (Bearish) หากค่าต่ำกว่าศูนย์ 5) TIME ZONE = บอกถึงสภาวะของหุ้นตัวนั้นว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด 6) Last Zone=สภาวะหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าอยู่โซนใด,Pres.Zone = Present Zone สภาวะหุ้นในสัปดาห์ปัจจุบัน 7) 52-weeks Range = ช่วงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์