หลังจากที่ ตาราง i-chart30 ได้ มีการทำออกมา กว่า 1ปี จึงได้มีการประเมินผลการดำเนินงานว่า มีผลตอบแทนอย่างไรจากบทวิเคราะห์ที่ผ่านมา
โดยเบื้องต้น ผมได้วัดผลการวิเคราะห์ทางเทคนิคจากสัญญาณซื้อขาย ด้วย i-chart30 model กับ SET index และ SET 50 ซึ่งสิ่งหนึ่งจากภาพที่เราเห็นคือ ดัชนีในช่วงกว่า 1ปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าดัชนี มีการเปลียนแปลงเพียงเล็กน้อยหากเทียบระยะเวลาตั้งแต่เดือนเมษายน 2549 (2006) จนถึงช่วงเดือนมิถุนายน 2550(2007) เนื่องจาก ตลาดมีความผันผวน จากความไม่แน่นอนหลายประการจาก สภาวะเศรษฐกิจ และการเมือง จะเห็นได้จากนโยบายเรื่องค่าเงิน การปรับอัตราดอกเบี้ย หรือการประท้วงต่างๆ ดังนั้น จะเห็นว่าดัชนีหุ้นบ้านเรา แทบจะไม่ไปไหนในช่วง 1ปีที่ผ่านมา ปรับขึ้นๆ ลงๆ ตลอด ดังนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค จึงมีบทบาทสำคัญที่ จะสร้างกำไร จากส่วนต่าง ในช่วงโอกาสต่างๆ ที่ดัชนีผันผวนขึ้นลง

ซึ่งจากตาราง จะเห็นว่าวันที่เกิดสัญญาณซื้อ จากวันที่ 3 Apr '06 ที่ดัชนี 733.25 จนถึงสัญญาณขายครั้งสุดท้ายในวันที่ 13 Jun'07 ที่ดัชนี 743.42 ดัชนีมีการเปลี่ยนแปลง เพียง 6.21จุด (คิดจากการเปลี่ยนแปลงส่วนต่าง เหมือนการซื้อหุ้น โดยคิด ค่าธรรมเนียม ที่ 0.25%) หรือเปลี่ยนแปลง +0.85% นั่นหมายความว่า หากถือครองหุ้น ตลอดระยะเวลาดังกล่าว จะมีผลตอบแทนที +0.85%
แต่หากเปรียบเทียบกับการซื้อขายทางเทคนิคด้วย i-chart30 ในช่วงเวลาเดียวกันจะเห็นว่ามีการซื้อขาย รวมกันถึง 13ช่วงเวลาด้วยกัน ซึ่งบางครั้งอาจมีการขาดทุน หรือทำกำไร แต่เมื่อมาวิเคราะห์ว่าหากเปรียบดัชนีเหมือนราคาหุ้นตัวหนึ่งที่ มีค่าคอมมิสชั่นเกิดขึ้นทั้งตอนซื้อและตอนขาย ที่ 0.25%นั้น จะให้ผลตอบแทนอย่างไร

Download ตารางได้ที่นี่ SET performance from i-chart30 Model.pdf (71.58 KB)
จากในตารางจะเห็นว่า ในช่วงปี 2006 มีการเข้า และ ออกถึง 9 ครั้ง โดยมีการขาดทุนถึง 5 ครั้ง แต่ก็ยังสามารถสร้างผลตอบแทนโดยรวม เพิ่มขึ้น +8.4674จุด หรือหากลงทุนด้วยจำนวนเงินเท่ากันตลอดจะมีผลตอบแทนที่ +1.29% ซึ่งจะเห็นว่าการเปลี่ยนแปลงในช่วง 3Apr06 15 Dec06 นั้นดัชนีมีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย
ส่วนในช่วง 2007 ตลาดมีแนวโน้มส่วนใหญ่เป็นขาขึ้นดังนั้น ผลตอบแทนโดยรวมจากการซื้อขายหุ้นตามสัญญาณ i-chart30 อาจให้กำไรน้อยกว่าการซื้อหุ้นต้นปี และขายหุ้นเดือน Jun เพราะบางช่วง SET เกิดสัญญาณ หลอก และต้องไปซื้อหุ้นกลับด้านบนที่ราคาสูงกว่าราคาที่ขายไว้ ซึ่งการวิเคราะห์ทางเทคนิค นั้นจะไม่ยึดติดว่าราคาซื้อขายเดิมอยู่ที่ใด แต่จะประเมิณว่า มีโอกาสขึ้นหรือลง เท่านั้น และปฎิบัติตาม กฎที่ตั้งไว้
ซึ่งจุดดีคือ เรามิสามารถทำนายได้ว่าตลาดจะขึ้นลงนานขนาดไหน และ จะจบรอบเมื่อไร แต่ จะซื้อขายตามสิ่งที่เห็นตรงหน้าตลอด ดังนั้นเมื่อรวมผลการดำเนินงาน ทั้ง 2ปีรวมกันจะเห็นว่าเมื่อเทียบกับดัชนีที่ไม่ไปไหน แต่ การวิเคราะห์ด้วยตาราง i-chart30 สามารถสร้างผลตอบแทนส่วนต่างจากดัชนี ได้ถึง 65.47จุด โดยหักค่าธรรมเนียม ที่0.25%ทุกครั้ง
บทสรุป
จะเห็นว่าการวิเคราะห์ทางเทคนิค นั้นเป็นการประเมิณสถานการณ์ในปัจจุบัน ว่าแนวโน้มตลาดจะเป็นเช่นไร และซื้อขายตาม สัญญาณทางเทคนิค โดยมิได้คาดหวังจากการประเมิณข่าวในอนาคต
ซึ่งความเชื่อว่าการซื้อขายบ่อยอาจทำให้ผลตอบแทนโดยรวมน้อยลงกว่า การซื้อขายเพียงครั้งเดียว นั้นเป็นเรื่องจริง แต่ปัญหาคือ นักลงทุนส่วนใหญ่ ไม่สามารถที่จะตอบได้ว่า จุดเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึนอยู่ที่ไหน และจุดสูงสุดสุดท้ายอยู่ที่ใด ดังนั้น การซื้อขายตามแนวโน้มด้วยสัญญาณทางเทคนิค จึงการเป็นการลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น
โดยหากตลาดที่มีความไม่แน่นอน และมีการเคลื่อนที่ออกด้านข้าง (Side way) เช่นนี้ การใช้เครื่องมือทางเทคนิคช่วยจะสร้างผลตอบแทนที่มากกว่า
แต่หากตลาดที่มี Trend เป็นรอบใหญ่ การซื้อและถือหุ้น อาจจะให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าก็ได้
แต่อย่างไรก็ดีการเลือกเครื่องมือ (Indicator) และการปรับสัญญาณทางเทคนิค (period) ให้ตรงกับสภาวะตลาด และหุ้นตัวนั้นๆ น่าจะมีส่วนประกอบสำคัญในการสร้างผลตอบแทนในการลงทุนที่ดีที่สุดครับ