ถาม.
อยากเรียนถามอาจารย์ว่าถ้าไม่เคยมีความรู้เรื่องหุ้นเลยแต่อยากจะศึกษาเพราะเริ่มอยากจะลงทุนไม่ทราบว่าจะสามารถเข้ารับการอบรมได้รึไม่คะ
และจะอบรมโปรแกรมไหนดี และไม่ทราบว่าอาจารย์มีโปรแกรมอบรมสำหรับผู้ที่ต้องการเข้ามาศึกษาเรื่องหุ้นตั้งแต่พื้นฐาน แบบเรียนละเอียดเลย
มีรึไม่คะ
ขอบคุณคะ
จีรภัทร์
++++++++++++++++++++++++++
ตอบ.
เรียนคุณจีรภัทร์
สำหรับการลงทุนในหุ้นไม่ซับซ้อนเท่าไรนัก
ครับ เพียงแต่อาจต้องใช้เวลาในการอ่านข้อมูลบ้างเพื่อจะได้เห็นภาพ ครับ
ซึ่งการลงทุนหุ้นเหมือนการเข้าไปซื้อ กิจการใด กิจการหนึ่ง
โดยเราจะมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของจาก จำนวนหุ้นที่เราถืออยู่ ซึ่งสิทธินี้สามารถ
เปลี่ยนมือ ขายหรือโอนให้กันได้ เหมือนตั๋วสัญญาทางการเงิน หรือ โฉนดที่ดิน
เพียงแต่ว่าการซื้อขายในตลาดหุ้น มีการแลกเปลี่ยนกันง่ายมาก เพียงแค่มีการโอนหุ้น
ผ่านตัวเลขทางบัญชี ที่เปิดไว้กับโบรกเกอร์ และมีการจ่ายค่าซื้อหรือได้รับค่าขาย
ผ่านตัวแทนนายหน้า หรือที่เรียกว่า โบรกเกอร์ ครับ โดยที่เราไม่จำเป็นต้องรู้ว่า
ผู้ที่ซื้อหรือผู้ที่ขายหุ้นให้เราเป็นใคร
โดยผุ้ลงทุน
คาดหวังผลตอบแทน จากการลงทุนด้วยมูลค่าหุ้นที่สูงขึ้นจากผลประกอบการหรือกำไร
ที่บริษัทที่เราลงทุนอยู่นั้น มีการเติบโตขึ้น หรือ เราได้ผลตอบแทนในรูปเงินปันผล
จากส่วนแบ่งของกำไรที่บริษัทนั้นทำได้ในแต่ละปี
ซึ่งผู้ลงทุน อาจจะต้องมีการศึกษา
และเข้าใจ ถึง ผลตอบแทนและความเสี่ยง ในการร่วมหุ้น ในการทำธุรกิจกับบริษัทนั้นๆ
เช่น ผู้บริหารเป็นใคร น่าเชื่อถือไหม ธุรกิจเป็นแนวโน้มขาขึ้น หรือขาลง
กำไรเติบโตเท่าไหร่ และราคาหุ้นปัจจุบันถุกหรือแพงอย่างไร
ซึ่งการที่จะได้กำไร หรือขาดทุน จากการเล่นหุ้นนั้น คือ ราคาที่ซื้อหุ้น
และราคาที่ขายหุ้น ครับ เหมือนกับการซื้อที่ดิน ครับ เพราะที่ดี แต่ราคาแพง
คุณอาจไม่ควรซื้อ แต่หากที่ดินมีการปั่นราคา และยังสามารถปรับตัวขึ้นได้อีก
ซึ่งหากเราคิดว่าน่าเสี่ยง เพราะมีโอกาสทำกำไร ก็สามารถ ซื้อหุ้นนั้นได้
ในทางกลับกัน หากซื้อที่ดินได้ราคาถูกที่ดินนั้นไม่มีคนเหลียวแล
ไม่มีอนาคตที่จะทำให้เจริญได้ หรืออาจต้องใช้เวลานาน มากๆ
จึงทำให้ราคาที่ดินนั้นยังคงถูกต่อไป
สรุป
การลงทุนหุ้น คือเกมส์การลงทุนธุรกิจ ที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ตามการคาดการณ์ ของธุรกิจในอนาคต ดังนั้นจึงมีปัจจัย ทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคม
และนโยบาย รัฐต่างๆ ที่มีผลต่อราคาหุ้นในอนาคต ได้ทั้งหมด ครับ
ซึ่งคุณอาจต้องเรียนรู้ จากประสบการณ์ตัวเอง หรือ
การเข้าอบรมเพื่อรู้แนวทางในการวิเคราะห์และประเมินว่าหุ้นตัวใดที่เรียกว่าถูกหรือแพง
และเวลาใด คือเวลาที่เหมาะสมในการเข้าซื้อ หรือขายหุ้น
ซึ่งสามารถแบ่งการวิเคราะห์ได้ในทางปัจจัยพื้นฐาน และการวิเคราะห์ทางเทคนิค
(หรือแนวโน้มของราคา)
สำหรับผู้ที่เริ่มต้นลงทุน
อยากแนะนำให้ เข้าอ่านข้อมูลใน หน้า Investment Knowledge ในหน้าลิ้งค์ ของ investorchart.com คลิ๊ก
ได้ที่ด้านล่างนี้เลยครับ
http://www.investorchart.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=367584
ซึ่งในลิ้งของหน้าต่างๆ เหล่านี้
ขอให้คุณ จึรภัทร์ อ่านเพื่อให้เกิดภาพ และเข้าใจว่าการลงทุนเบื้องต้นคืออะไร
และประกอบด้วยอะไรบ้าง
ความรู้เบื้องต้นนักลงทุน
ข้อมูลจาก
Settrade.com
แหล่งความรู้ผู้ลงทุน
ข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ฯ (ก้าวสู่การลงทุนในหลักทรัพย์ ,รู้จักกับโบรกเกอร์, ข้อมูลพื้นฐานในการลงทุน
และ ฯลฯ)
TSI
e-Learning
( การลงทุนในหุ้น) เลือกเฉพาะการลงทุนในหุ้น
ผมเชื่อว่า การอบรมจะมีส่วนช่วยทำให้คุณจีรภัทร์เข้าใจ หลักการลงทุนมากขึ้น
ดีกว่าต้องไปเสี่ยง เรียนรู้ด้วยตนเองครับ
ถาม. มือใหม่อะคะ
ขอคำแนะนำด้วย
คือว่าตอนนี้เราอยากเล่นหุ้นรอมานานแล้วไม่ได้เล่นซักที
แต่เราไม่รู้จะปรึกษาใคร ถามคนที่บ้านเค้าบอกว่าตอนนี้ไม่ควรจะเล่น
แต่เราอยากขอคำแนะนำจากคนที่เล่นอยู่ว่าเราควรจะทำยังงัยดี
ถ้าเล่นตอนนี้ควรเล่นอะไรมีตัวไหนที่พอเล่นได้บ้าง ขอคำแนะนำด้วยนะคะ
ขอบคุณล่วงหน้าคะ
ตอบ. ผมคงไม่สามารถแนะนำหุ้นเป็นรายตัวได้ คุณควรจะเป็นคนตัดสินใจเอง ครับเพราะ
การเล่นหุ้นเหมือนการทำธุรกิจครับ ดังนั้น ไม่ว่าธุรกิจนั้น จะดีแค่ไหน
แต่หากคุณไม่มีความรู้ หรือ ไม่ได้ดูแลด้วยตัวเองแล้ว ก็ยากที่จะประสบความสำเร็จ
เพราะ คุณต้องรู้จักตนเอง ว่ามีความถนัด ความเข้าใจ ความชอบ การยอบรับความเสี่ยง
เงินทุน ระยะเวลาในการคืนทุนของคุณเป็นอย่างไร เพราะแต่ละคน นั้นก็แตกต่างกัน ครับ
ผมจึงไม่สามารถให้คำแนะนำที่เป็นสูตรสำเร็จแบบนั้นได้
โดยหากผมตอบคำถามคุณได้ แบบขอไปที
เหมือนที่ นักลงทุนต้องการหุ้นเด็ดในรายการโทรทัศน์
คงจะเป็นการช่วยคุณให้แย่ลงมากกว่า เพราะ เปรียบเสมือนหมอที่
ไม่ได้ตรวจร่างกายคนไข้ หรือ ไม่ได้ถามอาการ ไม่รู้อายุ หรือประวัติคนไข้ที่ชัดเจน
ก็ไม่สามารถจ่ายยา ได้ เพราะหากจ่ายยาไม่ถูก คนไข้แพ้ยา หรือรักษาไม่ถูกโรค
ก็อาจทำให้ถึงชีวิตหรือพิการเช่นกันครับ
ดังนั้นเบื้องต้น
หากอยากเริ่มต้นลงทุน นั้นแนะนำให้ลองศึกษาด้วยตัวเองก่อน โดยแนะนำให้คุณ
เริ่มเข้าเรียน กับ e-learning ของ TSI ที่เมนูด้านซ้าย ในหน้าแรกของเวปไซด์ ที่ จะมีหลักสูตรเงินทองต้องใส่ใจ
หรือหลักการ่ลงทุนในหุ้นเป็นต้น และ ให้ เจ้าหน้าที่การตลาดเป็นพี่เลี้ยงให้กับคุณ
ในการเลือกหุ้น และอธิบายหลักถึงหลักและเหตุผล ในการลงทุน
และหากมีโอกาส ก็เข้าร่วมสัมมานา
ต่างๆ ที่เขาจัดอบรม ไม่ว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ สถาบันพัฒนาความรู้ตลาดเงินตลาดทุน
สมาคมส่งเสริมนักลงทุนไทย หรือ เวปไซด์การลงทุนต่างๆ เพื่อ เพิ่มพูน ความรู้
ก็ให้สะสม ไปเรื่อยๆ ครับ เพราะวิชาลงทุนต้องเรียนทั้งชีวิต แต่ข้อดี
มันสะสมได้ไม่สูญหาย ใช้ได้จนตายครับ
คำแนะนำสำหรับผู้เริ่มต้นลงทุน
ไม่ควรรีบร้อนในการเริ่มลงทุนเลย
ควร ค่อยๆเรียนรู้และศึกษาครับ เพราะวิชานี้เรียนรู้ได้ทั้งชีวิต
ซึ่งอาจจะเริ่มลงทุนด้วยเงินก้อนน้อยก่อนครับ เพื่อเรียนรู้จากประสบการณ์
เพราะการลงทุนต้องใช้ประสบการณ์ถึงจะสามารถรู้ถึงปัญหาและข้อผิดพลาด
ดังนั้นบอกได้เลยครับ การที่คุณจะกำไรหรือประสบความสำเร็จ ต้องมีต้นทุน
สำหรับการเรียนรู้แน่นอน
ถาม.
อยากทราบว่าการดู signal ว่า เป็น
buy หรือ sell ดูจากอะไรค่ะ
ขอบคุณค่ะ
ตอบ.
สำหรับการวิเคราะห์จากสัญญาณทางเทคนิค ที่ดูใน Momentum Play ของ i-chart30 นั้น indicator แต่ละตัว
จะเรียงตามความไวของสัญญาณ จากน้อยไปมาก
โดยหลักการที่จะแนะนำว่าเป็น Buy หรือ Sell นั้น จะดูจากทุกตัวมาเป็นองค์ประกอบแต่ให้ความไว ระดับกลาง นั่นคือ
หากหุ้นตัวใดปรับตัวขึ้นมากกว่า SMA5 และ SMA10 ด้วยวอลุ่มที่มากกว่าค่าเฉลี่ย5วัน
อย่างมีนัยยะจะแนะนำเป็น BUY ครับ หรือหากยังไม่ชัดเจน
อาจจะต้องรอจนกว่าสัญญาณ SMA Cross เป็น + ถึงจะ BUY
แต่อย่างไรก็ดี
การตัดสินใจนั้นขึ้นอาจจะขึ้นอยู่กับสภาะวะตลาดทีเป็นขาขึ้นและขาลง
รวมถึงการตัดสินใจของผมอีกครั้งที่จะดูกราฟเพื่อ Confirm เพราะบางครั้งอาจจะ มีการ error ได้
จากการที่เส้นต่างๆ อยู่ใกล้กันมาก
จะต้องดูราคาปิดเทียบกับวันที่ผ่านมาครับ
ถาม.
การนับคลื่นอีเลียตเวพ นับอย่างไร หุ้นuv อยู่ในคลื่นไหนครับ
ตอบ.
ปกติผมไม่ได้ใช้หลักการนับคลื่น และไม่ถนัดเท่าไหร่ครับ จึงไม่สามารถให้คำแนะนำได้
ซึ่งหลักการวิเคราะห์ทางเทคนิค จริงแล้ว
แบ่งได้เป็นสามส่วนดังนี้ครับคือ
1. เน้นการใช้ Price Pattern คือดูรูปแบบการเคลื่อนตัวของราคาหุ้น ซึ่งอาจจะสร้างรูปแบบในลักษณะต่างๆ
โดยจะมีพฤติกรรมซ้ำๆกัน ดังนั้น จึงเกิดเป็นทฤษฎี ว่ารูปแบบนี้
มักจะเกิดการปรับตัวขึ้น หรือลง ตามมาในอนาคต ซึ่งจะมีเป็น Head and
Shoulder หัวและไหล่ , Triangle กรอบสามเหลี่ยม
, Channel break การทะลุผ่านกรอบ, ฯลฯ
เป็นต้น โดยบางครั้งจะดูผ่าน ได้ทั้ง Line Chart และ
Candle Chart
2.การวิเคราะห์ด้วยการใช้ เครื่องมือทางคณิตศาสตร์มาคำนวน
ความแข็งแรงของการปรับตัวขึ้นลง ซึ่งจะบอกถึงแนวโน้มในอนาคตที่จะเกิดขึ้นใน
ลักษณะการปรับตัว เป็น Bullish หรือ Bearish และ ตลาดอยู่ในช่วง Overbought หรือ Oversold
ดังนั้นเครื่องมือเหล่านี้ จะเอาราคาเปิด ปิด สูง ต่ำ หรือ
ราคาเฉลี่ย มาคำนวณตาม รอบระยะเวลาที่กำหนดจึงเกิด เป็น Indicator ต่างๆ ดังเช่น MACD, RSI, Stocastic, OBV เป็นต้น
ซึ่งสัญญาณต่างเหล่านี้จะเคลื่อนที่ไปในทิศทางเดียวกับหุ้น หรือ แตกต่างก็ได้
โดยการวิเคราะห์รูปแบบการเคลื่อนไหวของสัญญาณ(indicator) ก็สามารถ นำมาวิเคราะห์เพื่อบอกแนวโน้มในอนาคต ได้ละเอียดกว่า
ราคาหุ้นเพียงอย่างเดียวเพราะถือว่าค่าสัญญาณเกิดจากการคำนวณจากราคาหุ้นมาก่อนหน้าแล้ว
3.การนับคลื่น จะเข้าข่ายลักษณะเดียวกับ Price Pattern แต่ จะมีการกำหนดการปรับตัวขึ้นลงตายตัว เป็นคลื่นเล็กและใหญ่แตกต่างกันไป
ขึ้นว่าแต่ละคนจะนับรอบไหนเป็น 1 หรือ 2 หรือ 3 หรือ .....โดยแต่ละคลื่นก็จะมีทั้ง
1เล็ก หรือ 1ใหญ่อีก
ซึ่งผู้ที่เข้าใจลึกซึ้งเท่านั้นจึงจะนำไปใช้ประโยชน์ได้
เพราะมิเช่นนั้นอาจจะเกิดการสับสนได้
แต่อย่างไรก็ดีเครื่องมือแต่ละอย่างอาจมีจุดเด่นแตกต่างกัน
ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ใช้ และความเข้าใจในหลักการใช้เครื่องมือแต่ละอันมากกว่า
ดังนั้น แห เบ็ด หรืออวน ต่างก็หาปลาได้เหมือนกัน
แต่จะใช้อะไรคงต้องขึ้นอยู่กับความถนัด ของแต่ละบุคคลครับ
ถาม.
ช่วยกรุณาสอนหลักแนววิธีตลอดถึงรูปกราฟหรือตัวอย่างกราฟของi-chart30.ให้เห็นจริงได้ไหมครับ
ตอบ. รูปแบบการวิเคราะห์ ของ
i-chart30
เป็นการใช้สัญญาณทางเทคนิค จาก indicator หลายตัวมาประกอบกัน
โดยมีการเรียงลำดับความไวของ สัญญาณทางเทคนิค ตั้ง แต่เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน
,SMA Cross ...Macd Cross ซึ่งหากพิจารณาจากสูตรการคำนวณ
ก็จะเห็นว่าระยะเวลาของข้อมูลที่นำมาใช้ในการคำนวนของ
เครื่องมือแต่ละอันก็ใช้จำนวนวันที่คำนวณไม่เท่ากัน ดังนั้น
เมื่อนำมาสัญญาณมาเรียงกัน ก็จะเห็นแนวโน้มนั้น ว่าเป็นการปรับตัวในรอบ
ระยะสั้นหรือระยะยาว
ซึ่งผมจะให้น้ำหนักระดับกลางๆ
คือจะต้องรอสัญญาณการยืนยัน 2-3ตัว (เป็นบวก)
ก็จะพิจารณาว่าหุ้นตัวนั้นได้เปลี่ยนแนวโน้มว่าเป็นขาขึ้น
ส่วนทางลบก็จะเป็นตรงกันข้าม
และเมื่อเรากำหนดระยะเวลา
รอบการวิเคราะห์ที่แน่นอนเป็นระบบ โดยใช้ราคาปิดของแต่ละวัน ก็จะสามารถ
กำหนดกลยุทธที่ชัดเจน และสามารถวัดผลได้ ร่วมกับส่วน Momentum play ซึ่งหลักการซื้อขายนั้นจะพิจารณาจากการเกิดสัญญาณ Buy และ Sell โดยจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการถือที่แน่นอน
จะถือหุ้นนั้นตราบจนหุ้นได้เปลี่ยนทิศทางแนวโน้มไปในทางตรงกันข้าม
ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องถือหุ้น กว่า 50วันทำการ หรือเพียง2 วัน
ก็เป็นได้
หากต้องการเรียนรู้การวิเคราะห์แบบ i-chart30 โดยละเอียด หรือกลยุทธ์การใช้
เพื่อประยุกต์กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตนเอง รวมถึงการจัดพอร์ต
ผมแนะนำว่าต้องมาเรียนครับ
หากคุณต้องการศึกษาเอง
ต้องลองเปิด Chart ของกราฟวิเคราะห์ตามวันที่เกิดสัญญาณเพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจของการเกิดสัญญาณ
ซื้อขาย ครับ