การลงทุนใน i-chart30 เป็นการวิเคราะห์ข้อมูลตามสัญญานทางเทคนิค ด้วยการบอกสัญญาน หรือทิศทางแนวโน้มของราคาหุ้น ว่าแต่ละสัญญาน มีการปรับตัวขึ้นและปรับลงเช่นใด ซึ่งจะมีคำแนะนำสำหรับการบอกช่วงเวลาที่เกิดสัญญานซื้อและสัญญาณขาย โดยใช้ราคาปิดของสิ้นสุดวันก่อน มาเป็นตัวกำหนด รวมทั้งการบอกจำนวนวันที่เกิดสัญญานและการเปลี่ยนแปลงของราคาที่เกิดขึ้น ซึ่งนักลงทุนสามารถใช้ประกอบการตัดสินใจ ว่าข้อมูลเหล่านี้ หน้าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
1) Stock / ชื่อหุ้น
คือหุ้นที่เลือกมาจาก I-chart model โดยเน้นบริษัทจดทะเบียนที่มีมูลค่าทางตลาดสูง และมีสภาพคล่อง โดยพิจารณาจากหุ้นใน SET100 ซึ่งมีการแกว่งตัวที่สอดคล้องกับสัญญาณการวิเคราะห์ทางเทคนิคแบบ i-chart
2) Last Trade / ข้อมูลราคาปิดในวันนั้น
Close price - ราคาปิดของวันก่อน
Change price - การเปลี่ยนแปลงของราคาปิดเมื่อสิ้นวัน
% change - เปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลง
3) Volume Monitor จับตาปริมาณการซื้อขาย
Volume =ปริมาณการซื้อขายของจำนวนหุ้นในวันนั้น
Volume average 5 day = ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยใน5วันที่ผ่านมา
การวิเคราะห์ สัญญาณบวก (+)
หมายถึงว่ามีปริมาณการซื้อหรือขายในวันนั้นมากกว่าปริมาณการซื้อขายโดยเฉลี่ยของ5วันที่ผ่านมา
โดยหากหุ้นปรับตัวขึ้นบอกถีงแรงซื้อหรือแนวโน้มขึ้น
แต่หากหุ้นปรับตัวลง บอกถึงแรงขายหรือแนวโน้มลง
* จำนวนเต็มต้องคูณด้วย 1,000หุ้น
4) Momentum Play เครื่องมือสัญญาณทางเทคนิค
Sma 5days (Simple Moving Average 5 days) คือราคาเฉลี่ยของหุ้นใน5วันที่ผ่านมา
Sma 10days (Simple Moving Average 10 days) คือราคาเฉลี่ยของหุ้นใน10วันที่ผ่านมา
Price Over5 days คือราคาหุ้นสูงกว่าราคาเฉลี่ย5วันที่ผ่านมา
Price Over10 days คือราคาหุ้นสูงกว่าราคาเฉลี่ย5วันที่ผ่านมา
Price Over (5 day,10 day)
- ถ้าสัญญาณเป็น (+) คือสัญญาณทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวโน้มขึ้น
- ถ้าสัญญาณเป็น (-) คือสัญญาณทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวเป็นขาลง
โดยการขึ้นเครื่องหมาย (+) นั้นจะเกิดได้ก็ต่อเมื่อราคาปิดวั้นนั้นมากกว่าราคาเฉลี่ย 5วัน หรือ10วัน
Sma Cross
- ถ้าสัญญาณเป็น (+) คือราคาเฉลี่ย 5วันสูงกว่าราคาเฉลี่ย10วัน บอกถึงทิศทางขาขึ้น
- ถ้าสัญญาณเป็น (-) คือราคาเฉลี่ย 5วันต่ำกว่าราคาเฉลี่ย10วัน บอกถึงทิศทางขาลง
MACD Cross
- ถ้าสัญญาณเป็น (+) เกิดจากค่าของเส้น MACD Line มากกว่าค่าของ Signal Line บอกถึงทิศทางขาขึ้น
Bullish or Bearish
- Bullish เกิดขึ้นเมื่อค่าMACD Line มีค่ามากกว่าศูนย์บอกถึงภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นแนวโน้มขาขึ้น
- Bearish เกิดขึ้นเมื่อค่าMACD Line มีค่าน้อยกว่าศูนย์บอกถึงภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นแนวโน้มขาลง
5) Action and Recommend
Signal บอกถึงสัญญาณซื้อหรือขาย (Buy หรือ Sell)
Day จำนวนวันที่เกิดสัญญาณ
Price action ราคาที่ซื้อหรือขาย
% change เปอร์เซ็นต์การเปลี่ยนแปลงของราคานับตั้งแต่ที่เริ่มเกิดสัญญาน
6) 52-weeks Range
ช่วงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์
*เพื่อเปรียบเทียบว่าราคาหุ้นปัจจุบันอยู่ในระดับใกล้จุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุด
สรุปหลักการดูตาราง i-chart30
- ควรเลือกดูว่า วันนี้หุ้นไหนที่เกิดสัญญาณ ซื้อหรือขายเป็นวันแรก จากตาราง Action and Recommend
- เลือกดูการเปลี่ยนแปลงของราคาในวันที่แล้ว ว่าปรับตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลง มากน้อยเพียงใด
- สังเกตจาก Volume Monitor ว่าเป็นการขาย หรือ ซื้อ ด้วยVolume ในวันนั้นมากกว่า Volume เฉลี่ย5วันหรือเปล่า
- เปรียบเทียบราคาหุ้นปัจจุบันและเทียบกับราคาเฉลี่ย5วันและ10วันว่าแตกต่างกันมากหรือน้อยกว่าอย่างไร
- จากนั้นเลือกดูลำดับสัญญาณทางเทคนิคว่าเป็น +และอย่างไร
- หุ้น ณ ตอนนั้น ราคาที่สูงสุดหรือต่ำสุดในรอบ52สัปดาห์หรือเปล่า
กลยุทธ์ในการตัดสินใจเลือกซื้อหุ้น
- เลือกหุ้นที่เพิ่งเกิดสัญญาณ Buy และมี Volume เป็น +
- หากหุ้นมีการปรับตัวลดลงเป็นระยะเวลานานควรติดตามเพื่อหาโอกาสซื้อ
- หากหุ้นทำจุดสูงสุดใหม่ และสัญญาณต่างๆเป็นบวก สามารถซื้อตาม (Follow Buy)
คำถามที่พบบ่อย FAQ
ถาม. ช่วยกรุณาสอนหลักแนววิธีตลอดถึงรูปกราฟหรือตัวอย่างกราฟของi-chart30.ให้เห็นจริงได้ไหมครับ
ตอบ. รูปแบบการวิเคราะห์ ของ i-chart30 เป็นการใช้สัญญาณทางเทคนิค จาก indicator หลายตัวมาประกอบกัน โดยมีการเรียงลำดับความไวของ สัญญาณทางเทคนิค ตั้ง แต่เส้นค่าเฉลี่ย 5 วัน 10 วัน ,SMA Cross ...Macd Cross ซึ่งหากพิจารณาจากสูตรการคำนวณ ก็จะเห็นว่าระยะเวลาของข้อมูลที่นำมาใช้ในการคำนวนของ เครื่องมือแต่ละอันก็ใช้จำนวนวันที่คำนวณไม่เท่ากัน ดังนั้น เมื่อนำมาสัญญาณมาเรียงกัน ก็จะเห็นแนวโน้มนั้น ว่าเป็นการปรับตัวในรอบ ระยะสั้นหรือระยะยาว
ซึ่งผมจะให้น้ำหนักระดับกลางๆ คือจะต้องรอสัญญาณการยืนยัน 2-3ตัว (เป็นบวก) ก็จะพิจารณาว่าหุ้นตัวนั้นได้เปลี่ยนแนวโน้มว่าเป็นขาขึ้น ส่วนทางลบก็จะเป็นตรงกันข้าม
และเมื่อเรากำหนดระยะเวลา รอบการวิเคราะห์ที่แน่นอนเป็นระบบ โดยใช้ราคาปิดของแต่ละวัน ก็จะสามารถ กำหนดกลยุทธที่ชัดเจน และสามารถวัดผลได้ ร่วมกับส่วน Momentum play ซึ่งหลักการซื้อขายนั้นจะพิจารณาจากการเกิดสัญญาณ Buy และ Sell โดยจะไม่มีการกำหนดระยะเวลาการถือที่แน่นอน จะถือหุ้นนั้นตราบจนหุ้นได้เปลี่ยนทิศทางแนวโน้มไปในทางตรงกันข้าม ซึ่งบางครั้งอาจจะต้องถือหุ้น กว่า 50วันทำการ หรือเพียง2 วัน ก็เป็นได้
หากต้องการเรียนรู้การวิเคราะห์แบบ i-chart30 โดยละเอียด หรือกลยุทธ์การใช้ เพื่อประยุกต์กับการวิเคราะห์ทางเทคนิคของตนเอง รวมถึงการจัดพอร์ต ผมแนะนำว่าต้องมาเรียนครับ
หากคุณต้องการศึกษาเอง ต้องลองเปิด Chart ของกราฟวิเคราะห์ตามวันที่เกิดสัญญาณเพื่อเปรียบเทียบความเข้าใจของการเกิดสัญญาณ ซื้อขาย ครับ
ถาม. อยากทราบว่าการดู signal ว่า เป็น buy หรือ sell ดูจากอะไรค่ะ ขอบคุณค่ะ
ตอบ. สำหรับการวิเคราะห์จากสัญญาณทางเทคนิค ที่ดูใน Momentum Play ของ i-chart30 นั้น indicator แต่ละตัว จะเรียงตามความไวของสัญญาณ จากน้อยไปมาก โดยหลักการที่จะแนะนำว่าเป็น Buy หรือ Sell นั้น จะดูจากทุกตัวมาเป็นองค์ประกอบแต่ให้ความไว ระดับกลาง นั่นคือ หากหุ้นตัวใดปรับตัวขึ้นมากกว่า SMA5 และ SMA10 ด้วยวอลุ่มที่มากกว่าค่าเฉลี่ย5วัน อย่างมีนัยยะจะแนะนำเป็น BUY ครับ หรือหากยังไม่ชัดเจน อาจจะต้องรอจนกว่าสัญญาณ SMA Cross เป็น + ถึงจะ BUY แต่อย่างไรก็ดี การตัดสินใจนั้นขึ้นอาจจะขึ้นอยู่กับสภาะวะตลาดทีเป็นขาขึ้นและขาลง รวมถึงการตัดสินใจของผมอีกครั้งที่จะดูกราฟเพื่อ Confirm เพราะบางครั้งอาจจะ มีการ error ได้ จากการที่เส้นต่างๆ อยู่ใกล้กันมาก จะต้องดูราคาปิดเทียบกับวันที่ผ่านมาครับ