การวิเคราะห์ทางเทคนิค ด้วยปริมาณการซื้อขาย หรือ Volume Analysis
นับเป็นเครื่องมือการวิเคราะห์ทางเทคนิคหนึ่งที่สำคัญที่ช่วยยืนยันแนวโน้ม หรือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแนวโน้ม
ซึ่งหลายครั้งการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้น มักจะมีผู้รู้ข้อมูลภายในเสมอ และมักจะสะท้อนออกมาในเชิงของปริมาณการซื้อขาย ที่จะเห็นว่าราคาปรับตัวสูงขึ้นพร้อมปริมาณการซื้อที่มากขึ้นกว่าปกติ
โดยส่วนใหญ่หากหุ้นปรับตัวขึ้นก็มักจะมีข่าวดี รอไว้ข้างหน้า เช่น การประกาศผลประกอบการที่ดีเกินคาด การควบรวมกิจการ การถูกเข้าซื้อกิจการ การจ่ายปันผลระหว่างการ ข่าวชนะการประมูล หรือได้สัมปทาน เป็นต้น
ส่วนการปรับตัวเชิงลบที่ปรับตัวลงก่อนพร้อมกับปริมาณการขายที่ออกมามากกว่าปริมาณการซื้อขายปกติ นั้น ก็จะมีข่าวร้ายตามมาให้เห็นเช่นกัน ได้แก่ ข่าวผลประกอบการที่แย่เกินคาด การถูกถอดออกจากดัชนีสำคัญเช่น MSCI หรือ SET50 , SET100
ซี่งผมอาจจะยกตัวอย่างมาให้ดูเป็นแนวทางตามนี้ครับ
ดังนั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิค จะช่วยเห็นพฤติกรรมของนักลงทุนในตลาดว่าเป็นอย่างไร ก่อนข้อมูลจริงจะเปิดเผยออกมา ซึ่งบ่อยครั้ง ราคาหุ้นมักจะอยู่ที่ใกล้ระดับยอดหรือปลายแนวโน้มเมื่อมีข่าวประกาศที่ได้รับรู้ทั่วกัน ซึ่งจะสอดคล้องกับ ทฤษฎี Sell on fact (ขายเมื่อทุกคนรับทราบข้อมูลแล้ว) แต่หากนักลงทุนทั่วไป ที่ไม่ได้สนใจในพฤติกรรมราคา ก็มักจะเป็นเหยื่อ เพราะไม่ได้เห็นถึงภาพของราคาที่มีการปรับตัวขึ้นหรือลงก่อนหน้า ที่จะมีข่าวออกมาซึ่งหลายราคาสามารถเปลี่ยนแปลงล่วงหน้ามาก่อนเป็น 10-20%เลยทีเดียว
และหลายครั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคมักจะเห็นข้อมูลดีๆ ก่อนที่ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานจะมาสนับสนุนเสียอีก ดังตัวอย่างที่ก่อนหน้านี้ในปี2010 เราเคยได้ยินว่าบริษัทค้าปลีกสองบริษัทแข่งประมูลจะเข้าซื้อห้างค้าปลีกใหญ่จาก ฝรังเศส ซึ่งหุ้นทีมาเต็งหนึงกับราคาลดลงสวนทางกับหุ้นเต็งสองที่ราคาปรับตัวขึ้นก่อนวันประกาศผลดีล ถึงสองวันก่อนหน้า ทั้งๆที่ผู้บริหารหรือพนักงานของบริษัทที่ประมูลได้หรือถูกประมูลจะรับรู้เสียอีก ไม่เชื่อก็ลองไปเช็คกราฟกันดู
ดังนั้นนักลงทุนผู้ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่เลือกใช้ Volume เป็นเครื่องมือในการวิเคราะห์เป็นอันดับต้นๆ ควบคู่กับกราฟแท่งเทียน เพื่อบอกความสัมพันธ์ของแนวโน้มและแรงซื้อขาย รวมถึงมีส่วนในการยืนยันสัญญาณทางเทคนิคควบคู่กับ indicators อื่นๆ ด้วย
แต่อย่างไรก็ดีการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยวอลุ่มนั้นมีในหลายรูปแบบ แต่ไม่ซับซ้อน ซึ่งอาจทำความเข้าใจง่ายๆ ได้คือ
1.การเคลื่อนที่ของวอลุ่มและราคามักจะเป็นไปตามแนวโน้ม
ดังนั้นแนวโน้มขาขึ้น แรงซื้อ ต้องมากกว่าแรงขาย ดังนั้นแท่งเทียนที่ปรับตัวขึ้นบวกต้องมีวอลุ่มมากกว่าแท่งเทียนที่ปรับตัวลง
ส่วนแนวโน้มขาลง แรงขายต้องมากกว่าแรงซื้อ ดังนั้น แท่งเทียนสีดำ (หรือแท่งสีแดง)ที่บอกภาพลบต้องมีวอลุ่มมากกว่าแท่งเทียนที่เป็นภาพซื้อสีขาว ในตลอดแนวโน้มขาลง
หากภาพของวอลุ่มไม่สอดคล้องกับแนวโน้มดังกล่าวแล้ว ก็อาจจะเป็นสัญญาณเตือนให้นักลงทุนระมัดระวังถึงการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ได้
2.เมื่อวอลุ่มเคลื่อนที่ไม่สอดคล้องกับราคา จะบ่งบอกถึง Trend หรือแนวโน้มข้างหน้าว่ากำลังเปลี่ยนไป
เช่น
เมื่อราคาหุ้นปรับขึ้นทำ New high ใหม่ในแต่ละรอบ แต่กลับมี ปริมาณการซื้อขายที่น้อยลง ก็บ่งบอกว่าแนวโน้มขาขึ้นที่เห็นนั้นกำลังอ่อนแรง และอาจเปลี่ยนแนวโน้มได้ในไม่ช้า (เสมือนพลุที่หมดเชื้อเพลิง)
ส่วนแนวโน้มในตลาดขาลงที่มีวอลุ่ม เริ่มลดน้อยลงไปเรื่อยๆ ก็จะบ่งบอกถึงแรงขายได้ใกล้หมดลงแล้ว จึงทำให้แรงซื้อจะกลับมาชนะแรงขายอีกครั้ง และตลาดจะปรับตัวเป็นขาขึ้นอีกรอบ
ซึ่งตัวอย่างเหล่านี้เป็นพื้นฐานขั้นต้นที่นักลงทุนจะต้องเรียนรู้และใช้ประกอบในการตัดสินใจการลงทุนทุกครั้ง
โดยการวิเคราะห์โดยละเอียดและให้แม่นยำนั้น ต้องศึกษาและสังเกตุพฤติกรรมหุ้นในหลายๆรูปแบบ รวมถึงจะต้องเห็นกราฟในรูปแบบซ้ำในหุ้นหลายๆตัว เพื่อเพิ่มทักษะในการวิเคราะห์ ทั้งนี้จะมีพูดถึงอยู่ใน หลักสูตร TA102 และ WS201
เขียนโดย : dr_morky
3Jan2012