8.ไม่มีการกำหนด Trading plan
การวางแผน เป็นส่วนหนึ่งของการลงทุน ไม่ว่าคุณจะลงทุนในธุรกิจใดก็ตาม ก็จะต้องมีการวางแผนเพื่อจะประเมินถึงความคุ้มค่าในการลงทุน ระยะเวลาการลงทุน แนวโน้ม ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซี่งจะทำให้เราตัดสินใจได้ว่า มันคุ้มค่าต่อการลงทุนในครั้งนั้นๆ ไหม หรือจะมีแนวทางการป้องกันความเสี่ยงในการลงทุน ได้อย่างไร
ซึ่งการลงทุนในหุ้นหรืออนุพันธ์ก็คงไม่แตกต่างกัน กับการวางแผนการทำธุรกิจ เพียงแต่ผู้ลงทุนส่วนใหญ่มักจะใจร้อน โดยเข้าลงทุนก่อนแล้วค่อยวางแผน แต่ปัญหาสำคัญที่ตามมาคือ เมื่อนักลงทุนเหล่านั้นพิจารณาจากสินทรัพย์ที่ตนเองลงทุนแล้วนั้นไม่คุ้มค่าที่จะเข้าลงทุนแต่บังเอิญตนเอง ได้เข้ามาครอบครองสินทรัพย์นั้นแล้ว ก็จะใช้ความคิดเข้าข้างตนเองด้วยเหตุผลต่างๆ นาๆ เพื่อให้ตนสบายใจหรือคิดว่าตนเองนั้นคิดถูก ซึ่งท้ายที่สุดก็จะพึ่งโชคชะตาหรือโทษโชคชะตา ว่าดวงไม่ดีเองที่มาลงทุนในสินทรัพย์นั้นๆ
ดังนั้นผู้ที่จะลงทุนได้ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจใดๆ ก็ตามก็จะมีการประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนตั้งแต่ต้น และเลือกลงทุนบนทรัพยากร ด้านเวลา และทุนทรัพย์ที่จำกัด เพียงแต่ผู้บริหารและจัดการได้ดีกว่าก็จะทำให้เงินลงทุนนั้นสามารถงอกเงิน ได้มากขึ้นหรือเร็วกว่าคนอื่นๆ ซี่งจริงแล้วผมเคยพูดถึงหลักการนี้ในตอนปรัญญาการต่อสู้ ที่บอกว่าชกมากใช่ชนะ
เพราะการซื้อขายในฟิวเจอร์ มิได้บอกว่า ยิ่งเทรดมากได้มาก เพราะทุกครั้งที่ออกหมัดก็เป็นการเปิดความเสี่ยงที่จะโดนสวนหมัดได้ตลอดเวลา แต่การชกครั้งใด จะมีโอกาสเข้าเป้าและมีความเสี่ยงในการโดนสวนน้อยที่สุด นี้คือปรัญญา
ดังนั้นคนที่ประเมินสถานะ ด้านความเสี่ยงและผลตอบแทน บ่อยๆ ก็จะทำให้มีทักษะในการลงทุนได้แม่นยำมากขี้น โดยสามารถหาจังหวะการลงทุน ได้โดยเสมือนเป็นสัญชาติญาณ (แต่จริงแล้วเกิดจากการทำทีเป็นหลักการ และทำซ้ำบ่อยๆ /ประสบการณ์และทักษะเกิดจากการฝึกฝน มิใช่แค่อยู่กับมัน มานาน)
โดยท้ายที่สุดสำหรับผู้ที่จะลงทุนในฟิวเจอร์ ควรจะมีแผนการเทรดว่า การจะเข้าเปิดสถานะ นั้น ด้วยอะไรและราคาที่เท่าไหร่ (Entry Point) โดยคาดการผลกำไรครั้งนี้ น่าจะเป็นที่ราคาไหน (Exit at Target) และหากสถานการณ์ไม่ได้เป็นดังคาด จะเลือกหยุดขาดทุนที่ราคาเท่าไหร่ (Exit by Stop loss)
ซี่งเมื่อประเมิน การ Entry และ Exit ได้แล้ว ก็จะทำให้เราสามารถประเมิน ความเสี่ยงและผลตอบแทน (Upside Gain and Downside Risk) ได้ด้วยเช่นกัน โดยหากสัดส่วนผลตอบแทนมากกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้นมากเท่าไหร่ ก็จะเกิดความคุ้มค่าต่อการลงทุนมากเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่ควรจะกำหนดสัดส่วนไว้สำหรับRisk to Reward Ratio ไม่ต่ำกว่า 2เท่า เช่น หากต้องการทำกำไรต่อครั้งที่ 6 จุด ดังนั้นการหยุดขาดทุนต้องไม่ให้เกิน 3 จุด เป็นต้น
ทั้งนี้หลักการเพิ่มเติมจากนี้สำหรับผู้ลงทุนใน Futures ควรจะต้องมีความรู้ทางด้านการวิเคราะห์ทางเทคนิค เพื่อหากรอบของราคาแนวรับ และแนวต้าน ที่จะทำให้การลงทุนนั้นมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น