7.ไม่ยอมใช้ Stop condition
เครื่องมือสำคัญที่จะทำให้อยู่รอดในตลาดอนุพันธ์ ก็คือการ Stop loss หรือการหยุดขาดทุน นี่คือวินัยสำคัญอันยิ่งยวดที่ผู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์จะต้องทำให้ได้ เพราะหากไม่สามารถหยุดขาดทุนได้แล้วไซร์ ก็เหมือนกับรถยนต์ที่ไม่มีเบรค เพราะต่อให้ผู้ขับเก่งกาจแค่ไหน แต่จะต้องจบลง ด้วยการหมดตัวในที่สุด ซึ่งหลักการนี้ทำให้ผู้เคยประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้น แต่จะต้องมาขาดทุนในตลาดฟิวเจอร์มา มากต่อมากนักแล้ว เหตุเพราะการลงทุนในฟิวเจอร์ มี leverageค่อนข้างสูง จึงทำให้มีการขาดทุนได้หลายเท่าเมื่อเทียบกับหลักประกันที่ใช้ลงทุนตั้งต้น ประกอบกับสัญญามีการกำหนดเวลาหมดอายุชัดเจน และมีการบันทึกกำไรขาดทุนจริงทุกวัน จากราคาที่เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นการถือแบบลงทุนระยะยาว หรือใช้คติไม่ขายไม่ขาดทุน ในตลาดนี้ ไม่สามารถใช้ได้ ซึ่งผู้ลงทุนที่ไม่เข้าใจในหลักการข้อนี้แล้ว ก็เท่ากับปิดประตูแพ้ทันที
แต่อย่างไรก็ดี แม้ผู้ลงทุนจะมีความเข้าใจ แต่ในทางปฎิบัติก็อาจไม่สามารถทำได้ เนื่องจากในตลาดฟิวเจอร์นั้นมีความผันผวนมากกว่า และการเปลียนแปลงราคาที่รวดเร็ว ซึ่งหากมีการคลาดสายตา หรือหากราคามีการปรับตัวขึ้นลงแรง ก็ไม่สามารถหยุดขาดทุนได้ทัน จึงทำให้เมื่อขาดทุนมากขึ้น การตัดใจก็จะทำได้ยากขึ้น ดังนั้นหลายคนจึงเลือกที่จะรอและ ได้แต่ภาวนาให้ราคากลับมาเป็นอย่างที่ตนเองตั้งใจ หรือหาไม่แล้วก็จะยอมเมื่อเงินหมดแล้วค่อยเลิก(ปิดสถานะ) ซึ่งท้ายที่สุดจากหลักการที่ไม่สามารถกำหนดได้ชัดเจน โดยใช้ความรู้สึกเข้ามาควบคุมก็จะทำให้ การตัดสินใจต่างๆ ไม่เป็นตามระบบ ที่กำหนดให้ใช้เหตุและผล หรือหลักบนความถูกต้อง จึงทำให้ผู้ลงทุนนั้นๆ กลายเป็นนักพนันอย่างดี ที่คิดว่า วันนี้ ควรแทงขึ้นหรือแทงลงเท่าไหร่ แค่นั้น
และถึงแม้จะมีนักพนันที่เก่ง ทายถูกมากกว่าผิดก็ตาม แต่เมื่อขาดทุนและไม่มีการ Stop loss ก็จะทำให้การขาดทุนไม่กี่ครั้ง แต่ทำให้เงินกำไรที่ทำได้มาหายหมดได้ภายในคราวเดียว
ดังนั้น โดยหลักการแล้วผู้ลงทุนในตลาดอนุพันธ์ ควรใช้เครื่องมือการตั้งราคาที่เรียกว่า Stop Condition ในการเลือกกรอบราคา ว่าหากไม่ได้เป็นดังที่คาดไว้ ตนจะหยุดขาดทุนทันที โดยอาจกำหนดเป็นการขาดทุนมูลค่าเท่าไหร่ หรือการกำหนดเป็นกรอบเปอร์เซ็นต์ หรือกรอบราคาแนวรับแนวต้านทางเทคนิค ก็ได้ เพื่อจะได้หยุดขาดทุนได้ทัน ทั้งนี้รวมถึง การตั้งระดับการทำกำไร หากราคาเริ่มอ่อนตัวลง หรือมีแนวโน้มที่จะมีการเปลี่ยนทิศทางไปจากเดิม โดยกำหนดกรอบราคาที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวโน้ม เป็นจุดทำกำไรหรือหยุดขาดทุนได้
แต่อย่างไรก็ดีการตั้ง Condition นั้นอาจจะต้องเรียนรู้ถึงวิธีการส่งคำสั่งว่าควรจะให้เป็นไปอย่างไร ระหว่างราคาที่ส่งคำสั่ง กับราคาที่ตั้งเงื่อนไข (Condition) ซึ่งส่วนใหญ่นักลงทุนมือใหม่จะประสบปัญหากับความสับสนว่าจะเลือกเป็น Bid <= Stop price , Bid >= Stop price, หรือ จะใช้ offer หรือ Last ดี ซึ่งส่วนตัวผมจะแนะนำให้ใช้วิธีการใช้ราคา Last จะกันความสับสนได้ดีที่สุด เพราะหากตั้งผิดฝั่งมีโอกาส จับคู่ราคาได้ทันที ซึ่งหากเมื่อเราใช้ Last การตั้งเงื่อนไขก็จะพิจารณาว่าควรจะมากกว่า หรือ น้อยกว่า ราคาที่ส่งคำสั่ง ก็จะทำให้การตั้งง่ายขี้น
ดังตัวอย่างเช่น หาก ราคา S50M11 อยู่ที่ระดับ 755 จุด โดยผู้ลงทุนต้องการที่จะ Short ปิดสถานะ หาก S50M11 ต่ำกว่า750 จุด (เนื่องจากเป็นแนวรับสำคัญ) จึงส่งคำสั่งเป็น Short close S50M11 at price 749.5 และเลือก Stop condition โดยตั้ง S50M11 Last<= 750.0 :ซี่งการตั้งคำสั่งราคาปิดสถานะ ต่ำกว่าตัวราคา condition ก็เพราะว่า หากราคา S50M11 ไหลต่ำกว่า 750.0 จะมีการยิง order Short Close ที่ 749.5 ก็จะทำให้เกิดการ matchที่ 750.0 หากยังมี Bid อยู่ แต่หากราคาไหลลงเร็วจนเห็น Bid ถัดไปเป็น 749.9 ถึง 749.5 ก็จะทำให้ order นั้นยัง match ได้ด้วยเช่นกัน ซึ่งโดยส่วนใหญ่หากจำนวนสัญญาไม่มากเกิน 5 สัญญา การตั้งความห่างระดับ 5ช่องก็จะทำให้ จับคู่กันได้ยกเว้นเสียแต่ราคาเปิดกระโดดในช่วงเปิดตลาด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดี บางคนอาจจะเลือกเป็น การส่งคำสั่งปิดสถานะในทุกราคาด้วย คำสั่ง Market ก็สามารถทำได้
ทั้งนี้การตั้ง Condition สามารถใช้ได้เพื่อการ Stop loss , Take profit หรือการ Open position นั้นสามารถทำได้ทั้งหมด ขึ้นอยู่กับผู้ส่งคำสั่งว่าจะเลือกกรอบจากราคาใด เป็นจุด Action และเลือกว่าจะให้ราคาทะลุกรอบบนใด หรือกรอบล่างใด ในการส่งคำสั่งราคา