หากเปรียบการลงทุนในตลาดฟิวเจอร์นั้นจะต้องเต็มไปด้วยความรวดเร็วและ อาจต้องมีการตัดสินใจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา
ดังนั้นผู้ที่ลงทุนจะต้องมีหลักในการตัดสินใจ และมีการเตรียมพร้อมเพื่อลดการบาดเจ็บหรือการสูญเสียมิให้เกินสภาพร่างกายที่จะยอมรับได้ ซึ่งผมจึงขอเปรียบกลยุทธ์การเก็งกำไรในตลาดฟิวเจอร์เป็นอุปมาอุปมัยเพื่อให้เห็นในเฉกเช่นการต่อสู้ในเชิงศิลปะป้องกันตัวเลยทีเดียว
1.พื้นฐาน การต่อสู้
ควรจะต้องเรียนรู้ถึงหลักการต่อสู้ต่างๆ โดยเริ่มต้นจากท่ายืน ท่าเดิน ท่าปัด ท่าชก หรือ ท่าเตะ ซึ่งหลักการต่อสู้โดยทั่วไป จะเริ่มต้นด้วยทักษะการยืน และการปัดป้องมากกว่าการเข้าทำ ซึ่งหมายความว่าตามหลักการลงทุนแล้วควรจะต้องเรียนรู้วิธีการป้องกันการขาดทุน ก่อนที่จะเรียนรู้การทำกำไร แต่นักลงทุนส่วนใหญ่มักอยากที่จะเรียนการทำกำไรเพียงอย่างเดียว โดยไม่เรียนรู้ที่จะป้องกันการขาดทุน โดยหากเปรียบกับการเรียนศิลปะการต่อสู้ นั้นต้องฝึกทักษะต่างๆ เป็นแรมปี โดยจะต้องเรียนรู้และพัฒนาที่ละอย่างให้เกิดความชำนาญ ซึ่งจะเป็นพื้นฐานของการเข้าถึงทักษะป้องกันตัวในชั้นสูงได้
หากแม้ว่าเข้าทำคู่ต่อสู้ได้ โดยมิสามารถปัดป้องตัวเองได้แล้วไซร้ ท้ายที่สุดก็คงสิ้นชีวิตอยู่ดี
แม้ทำกำไร ได้แต่ไม่สามารถหยุดขาดทุนได้แล้ว ไซร้ คงต้องหมดตัวอยู่ดี
ดังนั้นหากการเรียนรู้ศิลปะป้องกันตัวเพียงข้ามคืน แบบว่าจะใช้ให้ได้ผล ควรเลือกท่าไม้ตายไม่กี่ท่าที่ถนัดและฝึกให้เกิดความชำนาญ โดยหากคู่ต่อสู้ได้แสดงท่าการจู่โจมท่าที่เราฝึกมา ก็จะสามารถตอบโต้ได้อย่างแม่นยำและปลอดภัย เพียงแต่หากรู้น้อยท่า ก็ต้องรู้จักรอให้โอกาสจังหวะนั้นมาถึงจึงค่อยจัดการ
2. เลือกใช้อาวุธ
นักลงทุนหลายคนมักชอบถามว่าเครื่องมืออะไร (Indicator ใด) เป็นเครื่องมือหรืออาวุธที่ดีที่สุด ผมคงตอบได้ว่าอาวุธที่ดีที่สุดในโลกนั้นคงไม่มี เพราะมันขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อม ความถนัด ทักษะความชำนาญ คู่ต่อสู้และสรีระของผู้ใช้แต่ละคน ดังนั้นอาวุธยาวหรือสั้น นั้นจะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ ก็ขึ้นอยู่กับการต่อสู้นั้นเป็นแบบประชิดตัวหรือเปล่า และผู้ใช้มีความถนัดและเข้าใจในอาวุธนั้นๆ มากดีพอหรือเปล่า เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ทางเทคนิค ที่อาจเลือกใช้ Indicator ในแต่ละสถานการณ์ไม่เหมือนกัน โดยบางเครื่องมือจะใช้ได้ดีในตลาดที่มี Trend เช่น Moving Average, Bollinger band, หรือ MACD เป็นต้น แต่หากตลาดที่แกว่งตัวเป็น Side way อาจต้องหาเครื่องมือที่วัดรอบการลงทุนที่สั้นกว่า เช่น Stochastic หรือ RSI
ดังนั้นผู้ลงทุนควรเลือกใช้อาวุธที่ตนเองถนัดและฝึกให้ชำนาญอย่างน้อย 1เครื่องมือ และเลือกใช้ในสภาวะที่ได้เปรียบ ก็จะสามารถชนะคู่ต่อสู้ได้ไม่ยาก
อาวุธที่จะใช้ป้องกันตัวเองได้ดีที่สุด ของแต่ละบุคคลนั้นอาจไม่เหมือนกัน ขึ้นอยู่กับสภาพร่างกาย สรีระ วัตถุประสงค์การใช้งาน และความชำนาญ ซึ่งเป็นคุณสมบัติเฉพาะบุคคล
ผู้ใช้งาน ควรจะต้องรู้จักตนเอง และคุณสมบัติของอาวุธที่ตนเองใช้ จึงจะทำให้การใช้งานเกิดประสิทธิภาพ และมีข้อผิดพลาดน้อยที่สุด ซึ่งหากจะเปรียบก็คือเครื่องมือที่จะใช้ในการตัดสินใจการลงทุน ควรจะต้องเหมาะสมกับผู้ใช้ ตามความถนัด และทักษะของผู้ใช้ ซึ่งหลักการใช้งานของเครื่องมือทางเทคนิคแต่ละประเภทผู้ใช้ควรทำความเข้าใจอย่างท่องแท้ถึงข้อดีข้อเสีย อย่างครบถ้วน
3. ชกมากใช่ว่าชนะ
หากจะเปรียบเทียบให้เห็นภาพ อยากให้ลองนึกคำว่า มวยวัดกับมวยอาชีพต่างกันอย่างไร โดยหากเรามองถึงนักมวยมือใหม่ได้ลงสนามในครั้งแรกๆ สิ่งที่ต้องสะกดและควบคุมให้ได้คือสติและหยุดความตื่นเต้น ซึ่งนักมวยใหม่ส่วนใหญ่นั้นมักจะออกหมัดส่งเดช ด้วยความกลัวและขาดสติ รวมถึงอาจไม่ได้เรียนรู้ถึงรูปแบบ หรือทักษะที่ถูกต้อง จึงทำให้การชกแต่ละครั้ง ที่ออกไปเป็นแค่ความหวังว่าจะฟลุ๊ก โดนหน้าคู่ต่อสู้ได้บ้าง โดยมิได้ประเมินถึงความเสี่ยงและผลตอบแทนที่จะชกในแต่ละครั้ง ทำให้บางครั้งกลับต้องเจอสวนหมัดกลับมาหน้าหงาย
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่มีประสบการณ์และฝึกฝนมาดีจะเลือกจังหวะที่ดีที่สุดในการเข้าชก โดยมุ่งหวังที่จะต้องชกอย่างเข้าเป้าและปลอดภัย โดยจะเปิดช่องว่างในการโดนสวนกลับให้น้อยที่สุด
นักเก็งกำไรที่ดี ควรประเมินความเสี่ยงและผลตอบแทนทุกครั้งก่อนเลือกเทรด เพราะสัญญาณทางเทคนิคแต่ละครั้ง อาจเกิดความคุ้มค่าในการเทรดได้ไม่เท่ากัน
หากจะให้เห็นภาพ ผมจึงอยากให้นักลงทุนทุกท่านเห็นได้ว่าผู้เป็นมือใหม่ส่วนมากจะซื้อขายทุกครั้งที่เกิดสัญญาณทางเทคนิค เพียงเพราะความตื่นเต้นที่อยากมีลุ้นตลอดเวลา หรือความโลภที่เห็นราคาจะปรับขึ้นหรือเพราะหวาดกลัวเห็นราคาจะปรับลง ดังนั้นการลงทุนที่มีการซื้อขายบ่อย ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้ได้กำไรสูงสุด
4.จังหวะและความเร็ว
การต่อสู้บางครั้งอาจตัดสินกันด้วยความเด็ดขาดเพียงเสี้ยววินาที เพราะหลายครั้งที่ซามูไร เมื่อดวลดาบกัน แม้ผู้ชักดาบก่อนแต่ยังมีความลังเลอยู่ก็อาจพ่ายแพ้ จากความเด็ดขาดของอีกฝ่ายได้
ดังนั้นทักษะสำคัญของผู้เป็น Trader หรือนักลงทุนในตลาดฟิวเจอร์ จะต้องมีความรวดเร็วและเด็ดขาด จะมาง้างหมัด หรือลังเลระหว่างการออกดาบไม่ได้ เพราะคุณกำลังเปิดช่องให้ความเสี่ยงของราคา ที่จะไหลไปทางใดทางหนึ่งเกิดขึ้นจนทำให้ต้นทุนของราคาคุณเปลี่ยนไป
ความเร็วและการตัดสินใจ เป็นสิ่งที่นักลงทุนทั่วไป ต้องพ่ายแพ้ต่อนักลงทุนรายใหญ่ หรือนักลงทุนผู้มีประสบการณ์มากกว่า ดังนั้น สิ่งที่นักลงทุนมือใหม่ควรต้องฝึกฝน คือเรื่องการตัดสินใจ สติ และความเด็ดขาด ซึ่งจะทำได้ดีหรือไม่ขึ้นอยู่กับการฝึกซ้อมและการใส่ใจ แต่อย่างไรก็ดี บางเรื่องพูดแล้วอาจนึกไม่เห็นภาพจนกว่าจะต้องเจ็บตัวเสียก่อนถึงจะจำได้
5. การรักษาระยะ
หากเราสามารถคำนวณระยะต่อสู้ของคู่ต่อสู้ของเราได้ ก็จะสามารถป้องกันตัวเองได้ โดยไม่เข้าไปอยู่ในระยะที่คู่ต่อสู้ทำอันตรายได้
ดังนั้นการลงทุนหรือการเก็งกำไรต่างๆ หากอยู่ในสภาวะที่ไม่แน่ใจหรือประเมินคู่ต่อสู้ไม่ออก ก็ควรที่จะออกมาห่างจากรัศมีการต่อสู้ของคู่ต่อสู้ ก็จะไม่เจ็บตัวโดยไม่จำเป็น
หากเกิดความไม่แน่ใจ หรือดูตลาดไม่ออก ควรออกจากตลาด หรือไม่ควรที่จะมีสถานะตลอดเวลา หากคุณไม่สามารถประเมินทิศทางของตลาดได้
6. เลือกชกหรือไม่ชก
การไม่ชก ไม่ได้หมายความว่าแพ้ ดังนั้นการออกหมัดแต่ละครั้ง ต้องมีความหมายและคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งบางจังหวะนักต่อสู้ที่ดีต้องเลือกที่จะถอยฉากออกมารอบนอกจนกว่าจะเกิด จังหวะหรือมุมที่มั่นใจ และค่อยเลือกชก เพราะการชกที่มากเกินไปอาจทำให้ความแม่นยำนั้นน้อยลง และบางครั้งทำให้เกิดความล้าได้ โดยหากเลือกชกทุกครั้งแม้ว่าจะยอมโดนสวนหมัดบ้าง ก็อาจทำให้เกิดอาการผวาและเมาหมัดจากการโดนสวน ซึ่งจะทำให้สติและความเฉียบคมน้อยลง
จงเรียนรู้ที่จะต้องรอ จังหวะ และอดทนต่อความโลภ เพื่อให้ได้มาซึ่งรางวัลที่ยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือน สิงโต ที่ดักรอซุ่มเหยื่ออย่างเงียบ จนกว่าถึงจังหวะที่มั่นใจ แล้วจึงไล่ตะครุบเหยื่อ
โดยสรุปแล้วผมหวังว่า ปรัญญาการต่อสู้ น่าจะประยุกต์ใช้ได้ดีสำหรับผู้ชอบการเก็งกำไร ที่จะต้องประเมินโอกาสที่จะเข้าทำคู่ต่อสู้เทียบกับ การโดนคู่ต่อสู้สวนกลับ เปรียบดังความเสี่ยงและผลตอบแทน ซึ่งสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นได้ชัด คือไม่มียอดฝีมือคนไหน หรือ Champion คนใด ขึ้นสู่ต่ำแหน่งสูงสุดได้โดยไม่เคยเจ็บตัว เพียงแต่ผู้นั้น เป็นผู้ที่เรียนรู้และพัฒนา เพื่อลดข้อผิดพลาดและเสริมจุดแข็งที่ตัวเองมีอยู่ โดยจะต้องฝึกซ้อม และปฎิบัติอย่างมีสติ
การทำกำไร หรือการขาดทุนเป็นเรื่องปกติ ของชีวิตการต่อสู้ เพียงแต่เราพร้อมที่จะเรียนรู้และก้าวข้ามตรงจุดนั้นไปหรือเปล่า