จากสภาวะการปัจจุบันจะเห็นได้ว่า ประชาชนคนไทยไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ เริ่มที่จะสนใจในการหาความรู้ด้านการเงินและการลงทุนมากขึ้นเรื่อย ๆ จากสภาวะที่ผลตอบแทนด้านดอกเบี้ย ต่ำลงทุกวัน บวกกับสภาวะวิกฤติทางการเงิน ที่เกิดขึ้นทั่วโลก ทำให้หลายคนเริ่มตระหนักรู้ว่า ความไม่แน่นอนของโลกมนุษย์เป็นอย่างไร และความไม่มั่นคงทางการเงินเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่ากับใคร สถานที่ใดหรือเวลาไหน ก็ได้
ดังนั้นการเรียนรู้เท่าทัน เพื่อที่จะสามารถบริหารความเสี่ยงด้านการจัดสรรเงินออมหรือเงินลงทุน ได้ด้วยตัวเอง หรืออย่างน้อยก็สามารถรู้ได้ว่า เงินที่เราฝากไว้ กับการลงทุนใดๆ นั้น มีที่มาที่ไป และผลลัพท์ที่จะเกิดเป็นอย่างไร ก็จะสามารถเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับเหตุการณ์ไม่คาดฝันได้
ทั้งนี้ ผมจึงได้เขียนบทความที่ให้ความคิดเชิงเปรียบเทียบให้กับนักลงทุนมือใหม่ หรือผู้ที่วางแผนเป้าหมายชีวิต ไปยังดินแดนแห่งความมั่งคั่ง ได้รับรู้ถึงแนวทางหรือวิธีการเตรียมตัว เพื่อจะได้ไปถึงฝั่งเป้าหมายอย่างปลอดภัย โดยที่ไม่ต้องออกเรืออย่างไร้การวางแผน และทำให้จมอยู่กลางทะเลหรือล่องลอยไปอย่างไร้ทิศทาง กันครับ
ซึ่งปัจจุบันมีผู้ที่สนใจในการลงทุนในตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการได้รับข่าวสารผ่านสื่อต่างๆ หรือการได้สัมผัสกับการลงทุนทางอ้อมผ่านการลงทุนในกองทุนรวมประเภท LTF หรือ RMF ดังนั้นผมจึงขอเปรียบเทียบให้เห็นเป็นรูปของนักลงทุนและนักเดินเรือในมหาสมุทร ว่าจริงแล้วก็ไม่ต่างกัน ครับ เพราะผู้ออกเรือที่ไร้การวางแผนหรือการเตรียมพร้อม ก็ยากที่จะถึงฝั่งได้ครับ
นักลงทุนกับการเดินเรือ
หากเปรียบภาพการลงทุนของนักลงทุน นั้นอาจจะมีองค์ประกอบด้วยกันอยู่หลายอย่าง ซึ่งผู้เริ่มต้นลงทุนใหม่ จะรู้สึกว่ายาก และคิดว่าคงจะดีกว่า หากจะจ้างคนขับเรือส่วนตัว หรือจะจ่ายค่าโดยสารให้กับเรือสาธารณะเพื่อนั่งร่วมไปกับผู้โดยสารอื่นๆ แต่อย่างไรก็ดียังมีคนส่วนมากที่รู้สึกว่าหากขับเรือได้เอง อาจจะสบายใจกว่า เนื่องจาก
1. การจ้างคนขับเรือส่วนตัว นั้นใช้เงินเริ่มต้นสูง เพราะต้องใช้เงินขั้นต่ำที่ 10 ล้านถึงจะซื้อเรือ พร้อมจ้างคนขับส่วนตัวได้ (การเปิดบัญชีแบบ Private Fund หรือตั้งกองทุนบริหารเงินส่วนบุคคล)
2. เรือสาธารณะ บางลำนั้น มีนโยบาย ไม่ให้ผู้โดยสารออกจากเรือ จนกว่า ถึงระยะเวลาที่กำหนด แม้ว่าจะต้องเจอกับพายุใดๆ ก็ตาม (การเลือกลงทุนผ่านกองทุนปิด ที่กำหนดระยะเวลาการขายคืนหน่วยลงทุนเช่น 2ปี หรือต้องกำไรมากกว่า10% จึงจะปิดกองทุนได้ ซึ่งผู้ลงทุนไม่สามารถขายคืนหน่วยลงทุน ได้เลยจนกว่าครบอายุสัญญา)
3. การจะออกจากเรือสาธารณะ ต้องแจ้งกระเป๋าเรือก่อนล่วงหน้า ก่อนเที่ยงวัน ถึงจะลงจากเรือในตอนเย็นได้ ซึ่งช่วงครึ่งเย็นนั้นอาจเป็นเย็นที่ฝนตกหนักหรือเป็นเย็นที่ท้องฟ้าสดใส ก็ไม่สามารถตอบได้ (การลงทุนผ่านกองทุนนั้นจะต้องส่งคำสั่งซื้อหรือขายก่อนเที่ยง โดยจะได้ราคาที่ซื้อหรือขายเป็นราคาปิดตลาดของเย็นวันที่ส่งคำสั่ง ซึ่งอาจไม่ทันการณ์ต่อความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นระหว่างวันได้)
4. ค่าธรรมเนียมนั่งโดยสารเรือสาธารณะ อาจแพงกว่าการหาเรือมาขับเอง (ค่าธรรมเนียมการซื้อขายกองทุน มีค่าบริหารจัดการ ค่านายทะเบียน ซึ่งรวม รวมแล้ว ก็จะแพงกว่าการซื้อขายหุ้นด้วยตัวเอง)
5. การขับเรือด้วยตัวเอง อาจจะสบายใจกว่า ในด้านการกำหนดทิศทางการเดินเรือได้เอง จะหยุดพักที่ไหนก็ได้ หรือ จะเลือกออกเรือ หรือ หลบคลื่นลม ณ ช่วงไหนก็ได้ เป็นต้น
ซึ่งเมื่อเห็นจากประเด็นต่างๆ เหล่านี้ จึงเห็นว่า ผู้โดยสารส่วนหนึ่งก็จะเลือกมาเป็นผู้ขับเรือเอง แต่ก็มีผู้โดยสารหลายคน บ้างก็ขับเรือล่มก่อนถึงฝั่ง บ้างก็ถึงฝั่งอย่างปลอดภัย หรือเปลี่ยนเรือลำใหม่ ที่ใหญ่กว่าเดิมขึ้นอยู่กับองค์ประกอบหลายด้าน ได้แก่การวางแผนการออกเรือ การดูคลื่นลม และประสบการณ์เป็นต้น
ดังนั้นหากเปรียบเทียบการลงทุนกับการออกเรือ ก็คงไม่แตกต่างกัน เพราะหากผู้โดยสารทุกคนมีเป้าหมายการออกเรือที่ชัดเจน มีกรอบระยะเวลา สามารถประเมินความเสี่ยง และโอกาส ในการออกเรือเพื่อให้ถึงเป้าหมาย อย่างปลอดภัยนั้น ควรจะต้องเตรียมการและศึกษาวิธีการในการควบคุมเรือให้ได้อย่างเหมาะสม เพราะในทะเลนั้น ยังมีปัจจัยอีกหลายอย่างที่มนุษย์ทั่วไป ไม่สามารถควบคุมได้
โดย นักเดินเรือหรือนักลงทุนที่ดี ควรจะต้องมีศึกษาข้อมูลและมีการวางแผนการเดินทางก่อนออกเดินทางเสมอ เพื่อจะได้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัยและไม่ใช้เวลามากจนเกินไป และเพื่อเป็นการเตรียมพร้อมสำหรับการเดินทางให้ถึงจุดหมายในการออกเรือจึงมีข้อแนะนำดังนี้
1.กำหนดเป้าหมาย และ กำหนดระยะเวลาเดินเรือ (การกำหนดผลตอบแทนและระยะเวลาในการลงทุน) เช่น ระยะทางที่จะเดินทาง ว่าจะใช้เวลาเบื้องต้นเป็นเวลาเท่าไร เช่น กี่เดือนหรือกี่ปี ซึ่งอาจมีทั้งที่หมายระยะสั้น และที่หมายระยะยาว รวมทั้งความสามารถของผู้โดยสารที่จะสามารถอยู่ในเรือได้ยาวนานเท่าไรด้วย
2. การเลือกเส้นทางเดินเรือ (กำหนดนโยบายการลงทุน) ว่าจะเลือกเส้นทางหลัก หรือเส้นทางลัด แต่อาจมีความเสี่ยงเรื่องอุปสรรค ต่างๆที่อยู่ในน่านน้ำ ได้แก่โขดหินโสโครก , กระแสน้ำที่รุนแรง, แหล่งน้ำเน่าเหม็น ซึ่งผู้เดินเรือจะต้องประเมินความเสี่ยงที่เกิดขึ้นหากเลือกเดินทางในเส้นทางดังกล่าว ว่าผลตอบแทนนั้นคุ้มค่ากับความเสี่ยงกับตัวเรือหรือเปล่า (เพราะเมื่อเสียหายอาจซ่อมเรือไม่ได้)
3.การเลือกขนาดเรือ (ขนาดของเงินลงทุน) ควรเลือกขนาดเรือให้เหมาะสมกับตัวผู้โดยสารเอง เพราะจะบ่งบอกถึงความสามารถ ในการบรรจุสัมภาระต่างๆ และความคล่องตัว เพราะหากท่านเลือกเดินทางในกระแส น้ำที่เชี่ยว หรือแคบ ต้องใช้ความคล่องตัว ในการหลบหลีกหรือพร้อมสละเรือได้ตลอดเวลา แต่หากเป็นเรือที่ใหญ่เลือกทางสัญจรทั่วไป จะปลอดภัยกว่า
4.การเลือกสัมภาระที่นำลงไปในเรือ (การจัดพอร์ตลงทุน) ทั้งนี้ผู้เดินทางจะต้องเข้าใจในสินค้าแต่ละประเภทว่ามีคุณสมบัติเช่นไร และควรเลือกสินค้าใด สัดส่วนเท่าไหร่ลงไปในเรือซึ่งสินค้าต่างๆ ก็จะมีคุณสมบัติดังนี้
4.1 สินค้าที่สามารถออกผลผลิตได้ระหว่างการเดินทาง (เช่นหุ้นปันผล)
4.2 สินค้าที่สามารถขายได้ราคาดี เมื่อนำไปขายที่ท่าเรือเป้าหมาย แต่อาจซื้อขายได้ยากหากไม่ถึงเวลาที่กำหนด (เช่นหุ้นคุณค่า)
4.3 สินค้าที่มีความเสี่ยงของการเน่าเสีย (เช่น หุ้นปั่นหรือหุ้นเล่นตามกระแสนิยม)
4.4 สินค้าพื้นเมืองที่ใครก็รู้จักทำให้ซื้อขายคล่องตัว (เช่น หุ้นในกลุ่ม SET50)
แต่อย่างไรก็ดีสินค้าที่เลือกลงเรือไม่ควรที่จะหลากหลายเกินไปและควรสอดคล้องกับขนาดของเรือ ระยะเวลาการเดินเรือ และเป้าหมายของการเดินเรือ
@ ทั้งนี้ผู้เดินเรือเองควรศึกษาถึงวิธีวิเคราะห์และประเมินความเสี่ยง ด้านราคาของสินค้า และผลตอบแทนที่เกิดขึ้น ว่ามีราคาถูกหรือแพงอย่างไร คุ้มค่ากับการนำใส่ไปในเรือหรือไม่ (เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ด้วยปัจจัยพื้นฐาน) ซึ่งอาจต้องใช้ประสบการณ์และสอบถามผู้รู้หรือดูข้อมุลที่มีผู้วิเคราะห์ไว้แล้ว
5. รู้ทิศทางคลื่นและกระแสลม (การหาจังหวะในการลงทุน) โบราณว่าน้ำเชียวอย่านำเรือไปขวาง เปรียบเสมือนการเดินเรือที่จะได้รับความปลอดภัย หรือใช้เวลาเดินเรือที่สั้นจะต้องรู้ทิศทางของกระแสน้ำและกระแสลม ซึ่งหากเลือกเดินทางในช่วงคลื่นลมไม่สงบ หรือล่องเรือสวนกระแส อาจทำการออกเรือนั้นสูญเปล่า หรือนำมาให้เกิดความเสียหายของตัวเรือ ซึ่งบางครั้ง การไม่ออกเรือเลยจะเป็นวิธีที่ดีกว่า
ดังนั้นผู้ออกเรือควรศึกษาถึงวีธีการประเมินกระแสน้ำว่าอยู่ในทิศทางขึ้นหรือลง หรือเป็นน้ำวน (ไม่มีทิศทางชัดเจน) เพื่อจะได้กำหนดจังหวะในการออกเรือและพักเรือได้ (เปรียบเสมือนการวิเคราะห์ทางเทคนิค)
6. ซ้อมแผนสละเรือ (การรู้จักที่จะหยุดขาดทุน) ผู้โดยสารควรมีแผนสำรองในการรักษาชีวิตของตนเอง หากการเดินเรือนั้นเจออุปสรรคที่จะต้องสละเรือทิ้ง ดังนั้น การเตรียมพร้อมที่จะรับมือกับสถานการณ์ต่างๆ ด้วยการสมมุติเหตุการณ์ และกำหนดแผนปฎิบัติ ก็จะเป็นตัวช่วยให้การเดินทาง ครั้งนั้น สามารถรักษาชีวิต เพื่อสร้างโอกาสให้กับมาเดินเรือใหม่ได้ ซึ่งผู้โดยสารจะต้องรู้ว่าจะเส้นทางเดินเรือที่เลือกเดินนั้นมีความเสี่ยงอย่างไรด้วยเช่นกัน
หากกล่าวโดยสรุปคือ
ผู้เดินเรือมือใหม่ นั้นมีความเสี่ยงอยู่มากมายที่อาจไม่สามารถถึงที่หมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย หรือไม่สามารถขายสินค้าอยู่ในลำเรือได้เมื่อถึงที่หมาย แต่อย่างไรก็ดีการวางแผน ศึกษาข้อมูลและเตรียมความพร้อม จะเป็นตัวช่วยในการลดความเสี่ยง ซึ่งแม้จะต้องมีการลองถูกหรือลองผิดก่อน แต่ประสบการณ์ที่สะสมไว้จะเป็นตัวช่วย ซึ่งหากเดินเรือได้แล้วก็จะเป็นทักษะที่ติดตัวไปได้ตลอด และเมื่อถึงเวลาหนึ่งผู้เดินเรือนั้นก็จะสามารถนำเรือที่ใหญ่มาก และมากขึ้นเรื่อยๆถึงฝั่งได้เช่นกัน
แต่ปัญหาของผู้เดินเรือส่วนใหญ่มักชอบที่จะขับเรือเองแต่ไม่ได้ติดตามเส้นทางการเดินเรือของตน คอยแต่รับฟังความเห็นของ ลูกเรือบ้าง หรือเรือลำข้างๆบ้าง หรือรับฟังแต่ข่าวสารจากวิทยุสื่อสารบ้าง ซี่งไม่ได้วิเคราะห์จากเหตุการณ์ที่อยู่ตรงหน้าที่เกิดขึ้นจริง จึงทำให้เลือกเดินทางตามเส้นทางที่คนอื่นเขาบอกว่าดีหรือปลอดภัย แต่ไม่รู้ว่าจะมีหลุมน้ำวน หรือโขดหินอยู่ตรงไหน และบางครั้งกังวลจนเกินไป ทำให้การเดินเรือเป็นเรื่องที่เครียด ไม่ได้สนุกเหมือนอย่างที่ออกเรือไปในตอนแรก ดังนั้น ก่อนออกเรือทุกครั้งผู้เดินเรือควรวางแผนการเดินเรือของตนว่าคุ้มค่ากับการออกเรือหรือไม่ และมีความเสี่ยงอย่างไรบ้าง ก็จะทำให้การเดินทางเป็นเรื่องสนุกและยอมรับได้หากเกิดปัญหาไม่คาดฝันใดใด เกิดขึ้น
ทั้งนี้จึงขอฝากข้อคิดเหล่านี้ให้กับผู้ลงทุนทุกท่าน สำหรับการเดินทางบนเส้นทางการลงทุน แห่งนี้ ครับ
การลงทุนนั้นไม่ยาก หากเข้าใจ ถึงผลลัพธ์ ของความเสี่ยง และผลตอบแทน เพียงแต่คุณจะเลือกเดินทางในการเดินทางนั้น หรือการเดินทางถัดไป ก็ขึ้นอยู่กับข้อคิดต่างๆ 6 ข้อที่กล่าวมาครับ
ขอให้ทุกท่าน สนุกกับการเดินเรือครับ
Written by Dolnaphat Y.
Date: 7 Jan 09
dr_morky@investorchart.com