ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวเป็นแนวโน้มขาลงอีกครั้ง หลังจากอ่อนตัวหลุดแนวรับสำคัญที่บริเวณ 850จุด ซึ่ง แม้ว่าจะมีการรีบาวด์ในช่วงปลายสัปดาห์ แต่ เรายังเชื่อว่าการดีดกลับจะมีแนวต้านที่ 850จุดเป็นแนวต้านสำคัญ ทั้งนี้ ปัจจัยที่กดดัน เป็นเรื่องการอ่อนตัวของราคาน้ำมันโลก ประกอบกับ นโยบายจากรัฐบาลที่จะให้บริษัทโรงกลั่นน้ำมัน ลดค่าการกลั่นลงเพื่อให้แบกภาระค่าการกลั่นให้กับประชาชน จึงส่งผลให้หุ้นกลุ่มพลังงาน เทขายอย่างหนักตลอดสัปดาห์ไม่ว่าจะเป็น PTT, TOP
โดยจะเห็นได้ว่านักลงทุนต่างชาติเป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องตลอดทั้งสัปดาห์ โดยมีแรงขายมากที่สุดในวันศุกร์กว่า 5,481ล้านบาท หรือหากนักการขายสะสมตลอดทั้งสัปดาห์มีมูลค่าสูงถึง 13,180ล้านบาท ซึ่งเรายังมองสภาวะตลาดในสัปดาห์หน้ายังคงมีปัจจัยลบต่อเนื่อง จากการอ่อนค่าของเงินบาท รวมถึงสภาวะการณ์ตึงเครียดทางการเมื่อง รวมถึงแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยที่กำลังจะปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งล่าสุดธนาคารกรุงเทพ ได้มีการประกาศการขึ้นอัตราดอกเบี้ยทั้งเงินฝาก และเงินกู้ ในช่วงปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา
โดยประเด็นที่น่าจับตาคือ
1.แนวโน้มการอ่อนค่าของเงินบาทมีโอกาส สร้างสถิติใหม่ในรอบ3เดือน ที่บริเวณ 32.50บาทต่อดอลลาร์ โดยเราเชื่อว่าเงินบาทจะยังคงอ่อนค่าได้อีกถึง 33-33.20บาท ในระยะใกล้นี้
2.การปรับตัวของอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกรุงเทพจะเป็นปัจจัยกดดัน ให้กับการดำเนินงานของอุตสาหกรรมและธรุกิจต่างๆ ซึ่งจะส่งผลในเชิงลบ รวมถึงเกิดกระแสต่อเนื่องให้ธนาคารพาณิชย์อื่นๆ ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยขึ้นตาม
3.ความกังวลทางการเมือง และความไม่แน่นอนต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น ที่กล่าวในข้างต้นจะยังคงส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิต่อเนื่อง ได้อีก
กลยุทธ์การลงทุน
เน้นการขายทำกำไร แม้ดัชนีจะมีการรีบาวด์ โดยแนวรับสำคัญถัดไปจะอยู่ที่บริเวณ 800 และ 780จุด ซึ่งภาพแนวโน้มทางเทคนิคจะเห็นการอ่อนตัวของ MACDในหุ้นขนาดใหญ่ของตลาดหลายตัวรวมถึง SET index ปรับตัวลงต่ำกว่า 0 แล้วซึ่งบ่งบอกสภาวะตลาดที่เป็นขาลงต่อเนื่องได้ โดยจะเห็นได้ว่าหุ้นในตาราง i-Chart SET50 เริ่มมีการย้าย ZONE ไปอยู่ Zone C และ Zone D อยู่หลายตัว ซึ่งควรหลีกเลี่ยงการลงทุนในหุ้นเหล่านี้
หุ้นทีมีการย้าย Zone ในสัปดาห์นี้เมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่แล้ว
Positive Momentum
Zone A ได้แก่ ไม่มี
Zone B ได้แก่ ไม่มี
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone A และ B ล้วนเป็นหุ้นที่น่าจับตา สำหรับการลงทุน
Negative Momentum
Zone C ได้แก่ KK, AMATA, TCAP, SCB, TPC, PS
Zone D ได้แก่ TRUE, THAI, EGCO, SCCC, AOT
หุ้นที่เพิ่งย้ายเข้า Zone C และ D คือหุ้นที่ควรหลีกเลี่ยงการลงทุน หรือขายทำกำไร
คำแนะนำ
หุ้นที่เพิ่งมีการเปลียน ข้าม Zone มักจะเป็นการปรับตัวต่อเนื่องระดับกลาง ซึ่งอาจเกิด Momentum ต่อเนื่อง ได้อย่างน้อย 3 สัปดาห์
(Positive Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งย้าย Zone มาอยู่ในแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง ซึ่งเกิดภาพในเชิงบวก โดยสามารถซื้อถือ ระยะกลาง ซึ่งนักลงทุนอาจพิจารณาจากกราฟทางเทคนิค หรือประเมิณสัญญาณ indicator จากตาราง i-Technical SET50 ได้
A หรือ B เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านบวก เช่น D->A, A->B, C->B
(Negative Momentum) คือหุ้นที่เพิ่งมีการเปลียนย้าย Zone มาอยู่ใน Zone ลบ จะสามารถทำให้เกิดแรงขายต่อเนื่องได้ ซึ่งควรหลีกเลี่ยงลงทุนในหุ้นดังกล่าว หรือ อาจขายเพิ่อ Short sell หรือ switch เปลี่ยนตัวเล่น
C หรือ D เพิ่งมีการเปลี่ยน Zone ในด้านลบ เช่น A->D, B->C,C->D
Download ตาราง i-Chart SET50 30May08.pdf (200.50 KB)
นิยาม ตาราง i- Chart SET50
คือ ตารางที่ดูแนวโน้มการเคลื่อนที่ของหุ้นใน SET50 ว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด ว่าจะเป็นขาขึ้น หรือขาลงด้วยการวิเคราะห์ทางเทคนิคด้วยการใช้สัญญาณ indicator ต่างๆ เพื่อบอกทิศทางและความเชื่อมั่นของนักลงทุน ซี่งจะใช้ข้อมูลระดับสัปดาห์มาเป็นตัวกำหนด โดยผู้ลงทุนสามารถเลือกหุ้น ที่อยู่ในแนวโน้มต่างๆจาก STOCK TIME ZONE แบบ A, B, C, D และยังสามารถดูข้อมูลอื่นประกอบ เช่น Price over, Sma cross ที่จะบอกถึงความเชื่อมั่นที่ดี หากเป็น +
Zone A คือ หุ้นที่อยู่ในช่วงเริ่มต้นของขาขึ้น พร้อมจะปรับตัวขึ้นแรงหาก MACD Cross Zero line แล้วข้ามเป็น Zone B (เป็นช่วงสะสมหุ้น,หรือหาจังหวะซื้อ) ซึ่งบางกรณีอาจเกิดสัญญาณ Bullish Divergence ได้หากราคาหุ้นปัจจุบัน ยังปรับตัวลงต่อ แต่ในความหมายของ Zone A นี้หมายความว่าแรงขายเริ่มลดน้อยถอยลง และมีโอกาสที่จะปรับเป็นขาขึ้นในไม่ช้า
Zone B คือ หุ้นที่เป็นขาขึ้นในระดับ Bullish (สภาวะกระทิง)ซึ่งนักลงทุนจะมีความมั่นใจและหุ้นจะสามารถปรับตัวขึ้นแรง ซึ่งสามารถถือหุ้น และซื้อเก็งกำไรได้(Trading Buy)
Zone C คือ หุ้นที่ควรหลีกเลี่ยง และควรทำกำไร เพราะหุ้นได้อยู่ในแนวโน้มขาลงแล้ว หรือควรเปลี่ยนตัวเล่น (Reduce, Switch)
Zone D คือ หุ้นที่ยังคงแนวโน้มขาลง ซึ่งยังคงปรับตัวลงลึกรอที่จะกลับเป็นแนวโน้มขาขึ้นอีกครั้ง (Buy on weekness, Accumulate)
คำนิยามและความหมาย
1) Stock = คือหุ้นจาก SET50 2) Last Trade (Close price, Change price, % change) = ราคาปิดของสัปดาห์, การเปลี่ยนแปลงของราคาเมื่อเทียบกับสัปดาห์ที่ผ่านมาและเปอร์เซ็นการเปลี่ยนแปลง 3) Volume Monitor (Volume W,Volume average 5W) = ปริมาณการซื้อขายของจำนวนหุ้นในสัปดาห์, ปริมาณการซื้อขายหุ้นเฉลี่ยใน5สัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเครื่องหมาย(+,-) เป็นการบอกว่ามีปริมาณการซื้อขายหุ้นสัปดาห์นั้นมากกว่าหรือน้อยกว่าปริมาณการซื้อขายเฉลี่ย5สัปดาห์ ***(จำนวนเต็มต้องคูณด้วย 1,000หุ้น) 4) Momentum Play (Simple Moving Average 5 weeks[Sma 5W], Simple Moving Average 10 weeks [Sma 10W],Price Over 5 W,Price Over 10 W,Sma cross, RSI Week, SMA 5 weeks ของ RSI (RSI SMA5W) ,MACD cross, Bullish or Bearish) = สัญญานทางเทคนิคที่บอกทิศทางของหุ้นว่ามีแนวโน้มขึ้น (+)หรือลง(-) อย่างไร โดยจะมีการเรียงสัญญาณทางเทคนิคตาม ความไวของสัญญาณ ตั้งแต่ Price over 5W. หรือ 10W.ราคาปิดที่มากกว่าราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์ หรือ10สัปดาห์ สัญญานเป็น(+) หมายถึงแนวโน้มขึ้น , SMA cross ราคาเฉลี่ย 5สัปดาห์สูงกว่าราคาเฉลี่ย10สัปดาห์ บอกถึงทิศทางขาขึ้น สัญญานเป็น+ , ส่วนสัญญาน MACD ที่เป็น+ เกิดจากค่าของเส้น MACD Line มากกว่าค่าของ Signal Line, และค่าMACD Line ที่มากกว่าศูนย์บอกถึงสภาวะหุ้นตัวนั้นว่าเป็นสภาวะกระทิง (Bullish) หรือสภาวะหมี (Bearish) หากค่าต่ำกว่าศูนย์ 5) TIME ZONE = บอกถึงสภาวะของหุ้นตัวนั้นว่าอยู่ในช่วงแนวโน้มแบบใด 6) Last Zone=สภาวะหุ้นในสัปดาห์ที่ผ่านมาว่าอยู่โซนใด,Pres.Zone = Present Zone สภาวะหุ้นในสัปดาห์ปัจจุบัน 7) 52-weeks Range = ช่วงราคาที่สูงที่สุดและต่ำที่สุดในรอบ 52 สัปดาห์