กลยุทธ์การปั่นราคานั้นมีมานานแล้ว และเกิดขึ้นทุกที่ ที่มีการลงทุนหรือเก็งกำไร ในทุกแห่งทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทไหน เช่น บ้าน คอนโด ที่ดิน น้ำมัน ทองคำ กาแฟ หุ้น ตราสารต่างๆ หรือแม้กระทั่งพระเครื่อง ซึ่งหลักการสำหรับผู้ควบคุมตลาดหรือ market maker นั้น จะเข้าใจถึง หลัก Demand and Supply จิตวิทยาของมวลชน และ หลักการทำการตลาด (การโฆษณา) ดังนั้นเองจึงไม่ต่างอะไร กับการปั่นหุ้น ซึ่งผู้ที่เข้าใจหลักการนี้ดี จะมีการวางแผน ทางการตลาด อย่างรอบคอบ และมีการเตรียมการมาอย่างยาวนาน ซึ่ง ในเกมส์ หรือ รูปแบบ การทำราคา นั้น อาจมีระยะเวลา เป็น ได้ตั้งแต่ 6 เดือน หรือ เป็น ปีๆ เลยทีเดียว โดยอาจมีการตั้งเป้าหมาย ด้วยผลกำไร เป็นหลายเท่าตัวเลยทีเดียว ซึ่งนับว่าเป็นเกมส์กลยุทธ์ทางธุรกิจ ก็ว่าได้ (ซี่งก็คล้ายกับการโฆษณาชวนเชื่อ แต่เข้าข่ายที่มากเกินไป จนเป็นการหลอกลวง) ซึ่งจะมีทั้ง การสร้างภาพ สร้างฝัน ทำให้คนนิยม ชมชอบ เห็นด้วย คล้อยตาม จนเกิด ความโลภ ซึ่งบ่อยครั้ง คนทั่วๆไป มัก จะไม่เชื่อในตอนแรก แต่เมื่อเห็นว่ามีผลกำไรงาม คนอื่นทำ ได้สำเร็จ จึงอยากทำตามบ้าง จึงมิได้มีการคำนวณ อย่างรอบคอบ ถึงความเสี่ยงหรือผลตอบแทน จากราคาที่ปรับตัวขึ้นสูงอย่างรวดเร็ว ซี่งก็อาจจะดูคล้าย กับ ธุรกิจ Me Too ที่เกิดเห็นบ่อยๆ ในบ้านเรา เช่น แห่ทำธรุกิจที่เห็นว่ากำไรงาม ตามเขา จนไม่รู้ว่า จริงแล้ว มีปัจจัยความเสี่ยงอะไรบ้าง (เช่น ร้านตู้สติ๊กเกอร์ , ร้านเกล็ดหิมะ ชานม, สปา และอื่นๆ เป็นต้น) ซึ่งก็จะบาดเจ็บหรือขาดทุน ตามๆ กัน โดยรายย่อยก็มักจะเป็นผู้เข้าตลาดคนสุดท้ายทุกครั้ง
ซึ่งไม่ต่างอะไรกับ การแห่ตามซื้อหุ้นจากข่าวลือ เขาบอกมาว่าหุ้นนี้ดี จะไปเท่าโน้นจะไปเท่านี้ หรือจาก โปรเจค สร้างฝัน ผลการดำเนินงานที่โดดเด่น (จากการตบแต่ง หรือโยกย้ายบัญชี) หรือการมีผู้ร่วมธุรกิจรายใหม่ ที่มองถึงอนาคตบริษัท จึงมาร่วมทุนด้วย (ปกติ ก็เป็นพรรคพวกกันเอง หรือตั้งบริษัท Nominee ที่จดทะเบียน ในต่างประเทศ และ อุปโลก ว่ามาลงทุนด้วย) หรือ รอของแจกของแถม เช่น รอได้ warrant ฟรี หรือ หุ้นเพิ่มทุนใหม่ราคาถูก ดังนั้นผู้ลงทุนเอง ควรตรวจสอบอย่างรอบคอบว่า ตัวเรานั้นมีความเข้าใจถึงกลไกต่างๆ ในปัจจัยการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นนั้นได้ดี หรืออย่างไร ซึ่งอาจต้องใช้ประสบการณ์ จากการจดจำรูปแบบ หรือพฤติกรรม ที่เกิดขึ้นกับราคา และข่าวที่ส่งผลกระทบ จากหุ้นอื่นๆ ในอดีตที่มีรูปแบบคล้ายกัน โดยต้องบอกไว้ก่อนว่าไม่ใช่เรื่องง่าย ที่คุณจะวิเคราะห์ถึงสถานการณ์ ที่จะเกิดขึ้นข้างหน้า
เพราะ Market Maker นั้น ส่วนใหญ่จะถือไพ่เหนือนักลงทุนรายย่อยเสมอ เนื่องจาก
1.รายย่อยส่วนใหญ่ไม่มีความอดทน หากทนถือหุ้นอยู่นานและหุ้นไม่ขึ้นก็ยอมขายแล้ว ดังนั้น market maker จะปล่อยให้หุ้นนิ่ง จนไม่น่าสนใจ วอลุ่มซื้อขายหายไป จนทำให้นักลงทุนทนไม่ได้ และเกิดความกลัว ซึ่งแม้คุณคิดว่าท้ายที่สุดหุ้นตัวนี้จะต้องขึ้นก็ตาม
2. Market Maker นั้นจะเลือกให้สินค้านั้น มีการแกว่งไกว ของราคาเป็นอย่างใดก็ได้ เช่นทำให้ดูว่าจะขึ้น แล้วกดลง หรือ ทำให้ดูขาย สุดท้ายก็ดึงขึ้น เนื่องจาก Supply ส่วนใหญ่ นั้นได้ถูก ควบคุมจาก market maker แล้ว ดังนั้น การสร้างภาพจาก Demand และ Supply นั้นไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
แต่อย่างไรก็ดีใน โลกการลงทุน นั้นเปรียบเสมือน ดังเกมส์การทำธรุกิจ ดังนั้น ในแง่ของผู้สร้าง ราคา หรือ Market Maker นั้นก็มีความเสี่ยงเช่นกัน เพราะบางครั้ง ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจไม่ได้ตามที่ตัวเองตั้งเป้าหมายไว้ กล่าวคือ อาจมีการขาดทุนได้ด้วย ซึ่งผู้เป็น Market Maker อาจมีมุมมองที่เขาเป็นพ่อค้าหรือนักธุรกิจ ที่คิดว่า หากเขาสร้างกลยุทธ การทำราคา หรือสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับหุ้นหรือสินค้าที่เขามีไว้ และเขาสามารถกำหนด Demand และ Supply ของตลาดได้ ก็สามารถกำหนดราคาขาย ที่สูงกว่าต้นทุนของตัวเอง
แต่ในบางครั้งที่ Market Maker อาจขาดทุนได้จาก ราคาสินค้านั้นปรับตัวขึ้น ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เนื่องจากมีปัจจัยแวดล้อมหรือความเสี่ยงเกิดขึ้นระหว่างทาง ได้แก่ ข่าวร้ายที่ส่งผลกระทบต่อตลาดโดยรวมหรือธุรกิจโดยรวมทำให้ นักลงทุนไม่มั่นใจ, การวางแผนฮั๋ว ราคากัน เกิดการหักหลัง เช่นแอบขาย หรือแอบซื้อ ทำให้ Demand และ Supply ไม่เป็นไปตามแผน และอาจมียปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่นเงินทุน หรือข่าว ไม่เป็นอย่างที่คิดเป็นต้น
" ซึ่งหากนักลงทุน ไม่ให้ความสนใจ ต่อหุ้น เหล่านี้ สุดท้าย คนทำหุ้นเหล่านี้ก็จะขาดทุน และตาย ไปในที่สุด เพียงแต่ ความโลภยังมีอยู่ในมนุษย์ ทำให้ การกลยุทธ์การปั่นหรือสร้างราคา จึงอยู่คงกับตลาดหุ้นมาตลอดเวลา "
ซึ่งหากถามว่าจะมีมาตราการไหนดี ก็คงตอบยาก เพราะ พฤติกรรมที่เกิดขึ้น ก็อาจจะคล้ายแก๊ง ตกทอง ที่อาศัย ทฤษฏีความโลภของมนุษย์ ดังนั้นคงไม่มีมาตราการใด ที่จะช่วยป้องกันความโลภของมนุษย์ได้ แต่อย่างไรก็ดี ตลาดหลักทรัพย์ และ กลต.ใช้วิธีการตรวจสอบปริมาณการซื้อขาย ที่มากผิดปกติ ที่อาจเข้าข่ายการทำราคา (Manipulate) ซึ่ง กลต. จะมีการเตือนผ่านในเวปไซด์ SEC.or.th ที่เรียกว่า Turnover List โดยจะมีการคำนวนว่ามีหุ้นตัวใดมีการซื้อขายตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มีมูลค่าซื้อขายมากกว่า 20% ของหุ้นที่หมุนเวียนในตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่งหุ้นที่มีผลประกอบการขาดทุน หรือ P/E ที่สูงมาก ซึ่งกลต. จะส่งสัญญาณเตือนว่าหุ้นเหล่านี้ อาจอยู่ใน List ที่กลต. และตลาดหลักทรัพย์อาจสั่งพักการซื้อขาย หรือ ห้าม Net settlement (การเก็งกำไรซื้อขายภายในวันเดียว) เพื่อทำให้ผู้เข้าเก็งกำไร ระมัดระวังว่าหุ้นเหล่านี้ร้อนแรงเกินไป โดยมิได้มีปัจจัยพื้นฐานใดๆ ที่ส่งผลต่อราคาโดยตรง ซึ่งการควบคุมเช่นนี้ จะเป็นการสร้างอุปสรรคให้กับผู้ปั่นราคาหุ้น ทำได้ยากขึ้น ด้วย
ตัวอย่างเช่น
Turnover List ของสัปดาห์สิ้นสุดวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2551
มีหลักทรัพย์จำนวน 3 หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต. (แสดงเป็นตัวเอน)
|
อันดับ
|
หุ้น
|
%1W-Turnover
|
P/E ratio หรือบริษัทที่มีผล
การดำเนินงานขาดทุน
|
Non-Compliance
|
1
|
ASCON
|
99.00
|
47.76
|
|
2
|
SC
|
52.94
|
7.76
|
|
3
|
BLISS
|
47.46
|
ขาดทุน
|
|
4
|
LANNA
|
45.92
|
18.29
|
|
5
|
EMC
|
41.43
|
15.31
|
|
6
|
SICCO
|
38.91
|
20.33
|
|
7
|
TCC
|
30.48
|
ขาดทุน
|
|
8
|
LIVE
|
25.13
|
186.96
|
|
9
|
TTA
|
21.13
|
4.64
|
|
หมายเหตุ :
ก. หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายต้องยื่นรายงานต่อ ก.ล.ต. ได้แก่ หลักทรัพย์ที่ติดใน Turnover List และ มีผลการดำเนินงานขาดทุน หรือ มี P/E Ratio สูงกว่า 100 เท่า หรือ บริษัทที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน (Non-Compliance)
ข. โปรดดูจำนวน Free Float ของหลักทรัพย์ต่างๆ ได้ที่ http://capital.sec.or.th/webapp/freefloat/ffinfo.htm
ค. การคำนวณ 1W-Turnover มีวัตถุประสงค์เพื่อวัดอัตราการซื้อขายหมุนเวียนของหุ้นต่อสัปดาห์ โดยที่
1W-Turnover = [(มูลค่าซื้อหุ้นเฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์ x 5) / (%Free Float x Market capitalization ของหุ้นเฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์)] x 100
P/E ratio = [มูลค่าหุ้นตามราคาตลาด ณ วันสิ้นสุดสัปดาห์ / กำไรสุทธิ 4 ไตรมาสล่าสุดของบริษัท]
ง. วิเคราะห์เฉพาะหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าซื้อเฉลี่ยต่อวันในรอบสัปดาห์ตั้งแต่ 100 ล้านบาทขึ้นไป และมี 1W-Turnover ตั้งแต่ 20% ขึ้นไป
จ. หลักทรัพย์ที่เพิ่งเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ เป็นครั้งแรก (IPO) จะวิเคราะห์หลังจากที่ได้มีการซื้อขายผ่านไปแล้ว 4 สัปดาห์
จากตัวอย่างจะเห็นว่า หุ้นอย่าง BLSS , TTC, LIVE ต่างเป็นหุ้นที่ล้วนแล้วแต่ขาดทุน แต่ราคาหุ้นกลับมีการปรับตัวขึ้นรุนแรง พร้อมปริมาณการซื้อขายที่มากกว่าปกติ ดังนั้นหุ้นเหล่านี้ อาจถูกพักการซื้อขาย หรือ ห้าม Netsettlement ได้ในอนาคต ซึ่งนักเก็งกำไรบางท่าน อาจบอกว่าชอบ เพราะหุ้นเหล่านี้ปรับตัวขึ้นลงแรง ซึ่งทำให้เก็งกำไร ได้เสียอย่างรวดเร็วดีครับ
บทสรุปสุดท้าย การที่นักลงทุนขาดทุน หรือติดหุ้น เพราะไปเล่นหุ้นปั่นนั้น คงจะโทษ คนปั่นหุ้น เพียงคนเดียวคงไม่ได้ หากไม่มีนักลงทุนที่มีความโลภ มาเป็นตัวช่วยผลักดัน หรือส่งเสริมให้การทำธุรกิจรูปแบบนี้ดำเนินอยู่ได้ ดังนั้นการปั่นหุ้นก็ยังคงมีคู่กับตลาดหุ้น ตลอดไป
ซึ่งหากนักลงทุนท่านใดต้องการติดตามข้อมูล สามารถ link เวปไซด์ ผ่าน menu ทางด้านซ้ายมือ ของ InvestorChart.com ที่หัวข้อ i-SET info ในส่วนที่เรียกว่า Turnover List ครับ
โดยรายละเอียดวิธีการคำนวน Turnover List สามารถดูได้ที่นี่ครับ คลิ๊ก
ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ และช่วยให้เพื่อนนักลงทุน มีภูมิป้องกันตัวเอง สำหรับความเสี่ยงต่างๆจากการลงทุน ครับ
"Have a Good Trade"
dr_morky 27 Feb 08