บทวิเคราะห์โดย dr_morky as of 4Jan 08
หลายๆ คน อาจสงสัยว่าเหตุใด ตลาดหุ้นช่วงต้นปี2551 นี้ ไม่ได้สดใสเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้ ซึ่งสภาวะตลาดหุ้น บ้านเราดูน่าที่จะสดใส ได้แล้วหลังจาก รับข่าวการเลือกตั้งที่จบ ไปหมาดๆ พร้อมกับความเชื่อมั่นในทางเศรษฐกิจ ที่น่าจะดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้น หากได้รัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งมาจัดการ
ซึ่งประเด็นที่หลายคนคาดการณ์คือการกลับมาซื้อหุ้นของนักลงทุนต่างชาติ หรือปัจจัย จาก January effect โดยเหตุผล ที่จะน่าจะสนับสนุนจากสันนิฐานนี้คือ
1. ความชัดเจนด้านการเมืองที่มีมากขึ้นเมื่อมีการเลือกตั้งแล้ว
2. แนวโน้มค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นเรื่อย ตามการอ่อนตัวของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งจะส่งผลบวกให้เงินไหลเข้า มาในตลาดหุ้นอีกครั้ง
ปัจจัยที่น่าจะมีผลกระทบต่อตลาดโลก ณ ตอนนี้ที่ไม่ควรมองข้ามนอกจาก สภาวะเศรษฐกิจ ของสหรัฐอเมริกา หรือ ความกังวลต่อเนื่องจากสินเชื่อซับไพร์ม นั่นคือ การขายสินทรัพย์ลงทุน เพื่อนำเงินมาคืน สกุลเงินเยน ซึ่ง ณ ตอนนี้จะเห็นว่าค่าเงิน เยนญี่ปุ่นมีความผันผวนค่อนข้างมาก โดยได้ส่งผลกระทบต่อ ผู้ที่กู้ยืมเงินเยน เพื่อการลงทุน (หรือที่เรียกกันว่า Yen Carry Trade)
Yen Carry trade นับเป็น กลยุทธ์ การลงทุนประเภทหนึ่ง ที่ บรรดา Hedge Funds หรือกองทุนทั่วโลก ที่มองถึงโอกาส จากอัตราดอกเบี่ยที่ต่ำของญี่ปุ่น อยู่ราว 0% มานานหลายปี (พีงมีการปรับขึ้นเป็น0.5% ในปีที่ผ่านมา) และ นำเงินเหล่านี้ มาลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั่วโลก เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ที่มีอัตราดอกเบี้ย อยู่ราว 5% หรือ ลงทุนในตลาดหุ้น น้ำมัน ทองคำ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่าดอกเบี้ยที่กู้มา ;ซึ่ง กำไร ที่ปราศจากความเสี่ยง นี้ จะยังคงอยู่ ตราบใดที่ ญี่ปุ่น ยังไม่ปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ย, ค่าเงินญี่ปุ่นเมื่อเทียบกับดอลล่าร์ ยังไม่แข็งค่าขึ้น, ราคาพันธบัตรสหรัฐ และ/หรือ ราคาหุ้นใน Emerging Market ยังไม่ร่วงลงมา
ซึ่งในช่วง2ปี นับแต่ปี 2005 ที่ผ่านมาเหล่า เหล่ากองทุนที่ใช้กลยุทธ์ Yen carry Trade มีกำไรเติบโตอย่างมาก เพราะจากการอ่อนค่าของเงินเยน และดัชนีตลาดหุ้นที่ปรับตัวมากขึ้น จึงทำให้เกิดกำไรทั้งสองทาง จากหุ้นและค่าเงิน
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า เหล่ากองทุนต่างๆมีการกู้เงินเยนจำนวนมาก ขึ้น และลงทุนในสินทรัพย์เช่นตลาดหุ้นมากขึ้น เรื่อยๆ ซึ่งนี้คือปัจจัยหนี่งที่ทำให้ค่าเงิน ดอลลาร์ยังแข็งอยู่ได้ ทั้งที่จริง ดอลลาร์อาจต้องปรับลงมากกว่านี้ (ด้วยเหตุผลจากการแลกเงินเยนเป็น สกุลดอลลาร์เพื่อมาลงทุน หรือ ซื้อสินทรัพย์ในสกุลดอลลาร์) โดยอีกเหตุผลหนึ่งที่จะเห็นได้ชัดคือการที่ตลาดหุ้นทั่วโลก ต่าง สร้างสถิติ ทำ New high ใน ปี ที่ผ่านมา เพราะการกู้เงินมาลงทุนต่อ (เปรียบกับการหมุนเงิน เงินต่อเงิน ต่อยอดขึ้นไปเรื่อยๆ)
แต่ในทางกลับกัน หากค่าเงินเยนมีแนวโน้มที่แข็งค่าขึ้น ก็จะเกิดแรงขายสินทรัพย์จากที่ต่างๆ ทั่วโลก รวมถึงตลาดหุ้น เพื่อนำเงินลงทุนมาคืน เงินกู้ยืมที่เป็นสกุลเยน ยกตัวอย่างเช่น หากกู้เงินเยน ไปลงทุนที่ ตอน 120เยน ต่อ 1 ดอลลาร์ เพื่อให้นักลงทุน นำเงิน 1 ดอลลาร์ ไปซื้อหุ้น แต่หากหลังจากนั้น2เดือน ค่าเงินเยน กลับแข็งค่าเป็น 110เยน ก็จะส่งผลให้ เงิน 1ดอลลาร์ ที่กู้ยืมไป จะกลับมาคืนเงินเยนที่ 120เยน ได้นั้นจะต้องใช้ เงินดอลลาร์ ถึง 1.09 ดอลลาร์ สำหรับการใช้คืนเงินเยน ที่กู้ไป
เพื่อลดการขาดทุนมหาศาล หรือการขาดความสามารถในการใช้หนี้คืน ดังนั้น เมื่อค่าเงินเยนมีการเปลี่ยนทิศทางหรือแข็งค่าอย่างรุนแรงจะส่งผลให้ ตลาดหุ้นต่างๆ อ่อนตัวตามเช่นกันจากแรงขายหุ้นออก เพื่อนำเงินส่วนหนึ่งมาใช้คืนเพื่อลดความเสี่ยง
สัญญาณค่าเงินบาทจะเป็นตัวชี้วัดถึง Money Flow ของนักลงทุนต่างประเทศอีกต่อไปหรือไม่
ในอดีตที่ผ่านมาการแข็งค่า ของเงินบาท จะสอดคล้องกับ Capital inflow หรือเงินทุนไหลเข้าของนักลงทุนต่างชาติที่มาลงทุนในหุ้นพร้อมการเก็งกำไรค่าเงินบาท แต่ เนื่องจากปัจจุบัน การแกว่งตัวของค่าเงินเยน มีการเปลี่ยนแปลงที่สูงมากซี่งส่งผลกระทบ ต่อนักลงทุนต่างประเทศที่ หากกู้เงิน เยน เพื่อมาลงทุนในตลาดหุ้นไทย หรือความผันผวนของเงินเยน มีผลต่อสภาวะตลาดทุนโลก มากกว่า การแข็งค่าของค่าเงินบาท
ดังนั้นเรา ควรต้องให้ความสำคัญกับ ค่าเงินเยน มากเป็นพิเศษในช่วงนี้ เพราะจะเป็นตัวกำหนดทิศทางของแรงซื้อขายของนักลงทุนต่างชาติได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
จะเห็นว่าDollar index (ภาพด้านขวาบน) ในช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา มีการอ่อนค่าลง จึงส่งผลให้ค่าเงินเยน และเงินบาทแข็งค่าตาม (ภาพกลางบน และกลางล่าง)
แต่เมื่อเปรียบเทียบ เป็นpercent แล้วจะเห็นว่าค่าเงินเยน แข็งค่าเร็วกว่ามาก คิดเป็นการเปลี่ยนแปลงนับจากวันที่ 26 ธ.ค.50 เท่ากับราว -5% แต่เมื่อเทียบกับไทยบาทคิดเป็นการเปลี่ยนแปลงเพียง 1% ซึ่งแหตุผลนี้เอง จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักลงทุนต่างชาติ ต้องขายหุ้นออก เพราะการถือครองบาท นั้นยังแข็งค่าน้อยกว่าเยน
สุดท้ายนี้ เรามิรู้ว่า กองทุนกับรายย่อยที่ซื้อหุ้นมา ต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี จะทนรับ แรงขายอย่างต่อเนื่องจาก นักลงทุนต่างชาติได้อีกต่อไปหรือไม่
บทวิเคราะห์โดย dr_morky as of 4Jan 08