สำหรับการวิเคราะห์หุ้น IPO เพื่อทำการซื้อขาย ตั้งแต่การจองเข้าซื้อ นั้นจะต้องพิจารณา ถึงราคาและมูลค่าที่เหมาะสม ซึ่งส่วนใหญ่อาจจะประเมิณ จากผลประกอบการที่ผ่านมา อัตราการจ่ายปันผล และโครงการที่จะเกิด และความสามารทางการสร้างผลกำไร หลังจากได้เงินเพิ่มทุน ไปพัฒนา โครงการนั้น ซึ่งโบรกเกอร์ ต่างๆ underwriter, ที่ปรึกษาทางการเงินต่างๆ ก็จะประเมิณผลออกมาว่ามูลค่าหุ้นที่เหมาะสมอยู่ที่ใด (ซี่งบางครั้งเรามีอาจรู้ได้ว่า ข้อมูลที่บริษัทเหล่านี้ ให้มาก่อนเข้าตลาดหลักทรัพย์ถูกผิดเช่นไร เพราะ อาจจะเป็นการสร้างงบ ก่อนนำเข้ามาขายในตลาด เพื่อได้ราคาขายสูงที่สุด) ดังนั้นอาจพิจารณาจาก ที่ปรึกษาทางการเงิน และ under writer ของบริษัทที่จะเอาเข้าตลาดนั้น เป็นใคร เชื่อถือได้ไหม และผลงานในอดีตที่ผ่านมา
ประสบการณ์ส่วนตัว บอกว่า ของดี มักไม่ค่อยมีเยอะ และ มีไม่ค่อยถึงมือ หากคุณ เป็นรายย่อย
ส่วนของ ไม่ดี นั้นมักได้มาง่าย และสามารถจองซื้อได้เยอะครับ
และเมื่อเข้ามาซื้อขายวันแรกแล้ว หลักการณ์คือ ขายเปิดก่อน แล้วค่อยมาว่ากันใหม่
ส่วนการวิเคราะห์หลังจากหุ้นเข้าตลาดแล้ว ทำอย่างไร ลองตามอ่านด้านล่างนี้ครับ
สำหรับหุ้นที่เข้าใหม่ในตลาด(IPO) นั้นการวิเคราะห์ทางเทคนิคเพียงอย่างเดียวอาจจะวิเคราะห์ยากเนื่องจากข้อมูลยังไม่มากพอ จึงไม่สามารถวิเคราะห์แนวโน้มได้ง่าย แต่อย่างไรก็ดี เราสามารถปรับรอบระยะเวลาการดูให้สั้นลง เช่น การใช้ กราฟ 1, 2 , 5นาที หรือ ticker กราฟ เลยก็ได้สำหรับวันแรก โดยเน้นการดูแท่งเทียนกับ Volume ครับ
แต่ โดยสถิติ การขายหุ้น IPO ณ ราคาเปิด เลยจะเป็นราคาที่ดีที่สุด สำหรับคนได้หุ้นจองมา เพราะ ส่วนใหญ่หุ้นมักจะปรับลง เมื่อสิ้นวัน
ส่วนคนชอบเสี่ยงเล่นหุ้นวันแรก ก็ต้องมีจิตใจที่แข้มแข็ง ประกอบกับการตัดสินใจที่ไวมาก ซึ่ง เสี่ยงเกินไป ไม่ค่อยแนะนำ เพราะจะใกล้เคียงกับการแทงสูงต่ำ หากคนที่จะเล่นได้จริงนั้น ต้องอ่าน Ticker และดู Bid offer เป็นด้วยถึงจะได้จังหวะราคาที่ดีกว่า
ส่วน Pattern ของ IPO มีรูปแบบที่ผมจำแนก ออกเป็นได้กว่า 6แบบ
1.All the way Down
คือเปิดมาก็ขายใส่ตลอด เป็นระยะเวลายาวนานต่อเนื่อง ซึ่งหุ้นพวกนี้เกิดจากการ กำหนดราคาสูง และขายทำกำไรได้ตลอด คือพวกเน้นเอาหุ้นเข้าตลาดมาขายอย่างเดียว ไม่มี market maker ดูแล เช่น ASK, SMIT, SMM, SUPER, STAR, S2Y
2.L-Shape
ขายหุ้นตั้งแต่วันแรก และอ่อนตัวต่อเนื่อง จนเริ่มมาเก็บสะสมราคาอีกครั้ง ค่อยยกขึ้นใหม่ ซึ่ง หุ้นรูปแบบนี้เห็นอยู่บ่อย และส่วนใหญ่จะเริ่มยกราคาตอนเดือน ที่3 หรือเดือน ที่6 เพื่อหาจังหวะไล่หุ้น และนำหุ้น Silent period ออกมาขาย
เช่น STEEL, UEC, DRT,SAT
3.Blow up for sell
ไล่ราคาตั้งแต่เริ่มขายวันแรก ต่อเนื่อง ไปกว่า 3 เดือนหรือมากกว่า จนราคาปรับตัวขึ้นมากกว่า 1เท่าตัว ค่อยขาย เช่น PS, FORTH , YNP, CPR, PHATRA, MME
4.V-Shape
เกิดแรงขายหุ้นตั้งแต่วัน แรก และลงรุนแรงต่อเนื่อง จนผุ้ที่ได้หุ้นจองต่างกลัวและขายหุ้นจนหมด จากนั้นดึงหุ้นกลับอย่างรวดเร็ว เป็นรูปตัว V ได้แก่ BLS, AKR, RRC, SECC,KPN, IRP
5. All the way up
หุ้นเหล่านี้จะปรับตัวขึ้นยาวนานต่อเนื่องมากกว่า 6เดือนขึ้นไป โดยมีการวางแผนมาอย่างดี และมี Story ต่อเนื่องสม่ำเสมอ ซึ่งมักจะทำราคาปรับตัวขึ้นไปกว่า 3เท่า ได้แก่ TNH, TWZ, KSL, METRO
6.No pattern
หุ้นที่เจ้าของ ไม่มีความสนใจในหุ้น ไม่ได้สร้างความนิยม หรือ ประชาสัมพันธ์ใด หรืออาจไม่เข้าใจกลไก ในตลาดทุน ปล่อยให้เป็นไปตาม ยถากรรมจึง ไม่มีรูปแบบใดชัดเจน โดยอาจเป็นหุ้นที่มีขนาดเล็กและสภาพคล่องต่ำมาก เช่น CIG, SALEE, ACAP, TPAC
สำหรับหัวข้อนี้ ก็จะมีสอนรายละเอียด ใน หลักสูตร i-Technical Workshop ด้วยครับ