ปัจจุบันการซื้อขาย ผ่านระบบ Internet Trading เริ่มเข้ามามีบทบาทต่อนักลงทุน มากขึ้น มากขึ้นเรื่อยๆ โดยประโยชน์ของ อินเตอร์เนท นั้นสามารถทำให้นักลงทุน ได้เข้าถึงข้อมูล ด้วยความสะดวก รวดเร็ว และส่งคำสั่งการซื้อขาย ได้เอง เปรียบเสมือนเจ้าหน้าที่การตลาด ดังนั้น อัตราส่วนของผู้ลงทุน ผ่านระบบการซื้อขาย ด้วย Internet Trading จึงมีการปรับตัวที่สูงขึ้นต่อเนื่องอย่างรวดเร็ว ดังนั้น ผู้ที่มีความเข้าใจ และความชำนาญ จากการใช้เครื่องมือ อินเทอร์เน็ต ก็จะได้ประโยชน์ อย่างมหาศาล
ซึ่งท่านอาจจะเปรียบเทียบถึงผลดี และความแตกต่างจากการซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด และระบบอินเทอร์เน็ต ดังนี้
1. ค่าคอมมิสชั่น ขึ้นต่ำที่เริ่มต้นที่ 0.21%
2. การดูข้อมูลหุ้นแบบ Real Time
3. ขึ้นตอนและระยะเวลาส่งคำสั่ง ที่สั้นกว่า
โดยท่านผู้เริ่มต้นลงทุนอาจจะต้องศึกษาถึงขั้นตอน การซื้อขายเบื้องต้น ผ่านบัญชี อินเทอร์เน็ต ว่าเป็นอย่างไร เช่นจำนวนเงินขั้นต้นในการเปิด บัญชี , ประเภทของบัญชีในการซื้อขายมีกี่แบบ ,การเตรียมเอกสารต่างๆ ที่ใช้ในการเปิดบัญชี ,ระยะเวลาการเปิดบัญชี ,จำนวนวันที่ใช้ในการเบิกถอนเงินในบัญชี เป็นต้น -> รายละเอียดของขั้นตอนการเปิดบัญชี ซื้อขาย
และสิ่งสำคัญ หากท่านต้องการเปรียบเทียบการให้บริการของแต่ละโบรกเกอร์ ในการให้บริการ การซื้อขายผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ท่านควรเลือกพิจารณาจากข้อมูลดังนี้
1. จำนวนเงินเริ่มต้นในการเปิดบัญชี และประเภทบัญชี ในการซื้อขาย เช่น บัญชี Cash, Cash Balance, Credit Balance / เนื่องจากจำนวนเริ่มต้นการลงทุนของแต่ละท่านอาจจะมากน้อยต่างๆ กันไป รวมถึงบางครั้งเอกสารรับรองสถานะทางการเงิน อาจไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำงานประจำ ซึ่งบัญชีบางประเภทต้องใช้ บางประเภทไม่ต้องใช้ เช่นหากเป็นประเภท Cash Balance เป็นการฝากเงินเพื่อการซื้อขาย สามารถเปิดการซื้อขายได้โดยท่านไม่จำเป็นต้องแสดงฐานะทางการเงิน เพราะท่านจะซื้อขายได้เท่ากับจำนวนเงินที่ท่านฝากไว้กับโบรกเกอร์เท่านั้น นอกจากนี้ควรพิจารณาถึงความยุ่งยากและขั้นตอน ในการเปิดบัญชีของแต่ละโบรกเกอร์ ว่าเขาสามารถเปิดบัญชีได้ ช้าหรือเร็วอย่างไรด้วย
2. การเสียค่าคอมมิสชั่น ที่ 0.21% หรือมากกว่า และ มีขั้นธรรมเนียมขั้นต่ำเท่าไร / นักลงทุนควรพิจารณา ต้นทุนในการซื้อขายหุ้นของท่านต่อครั้ง ซึ่งบางโบรกเกอร์จะมีการเก็บค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ไม่เท่ากันเช่น 50 บาท, 75บาท, 100บาท หรือ ไม่มีค่าธรรมเนียมขั้นต่ำก็เป็นได้ ดังนั้น หากท่าน ซื้อขายต่อครั้งไม่มาก ท่านอาจต้องเสียค่าคอมมิสชั่นที่มากกว่า 0.21% ก็เป็นได้ ยกตัวอย่างเช่น ท่านที่เปิดบัญชีกับโบรกเกอร์ที่คิดค่าธรรมเนียมขั้นต่ำที่ 100บาท แต่ท่านอาจจะเป็นผู้ที่เริ่มต้นลงทุน ที่บางครั้งต้องการซื้อขายหุ้นด้วยจำนวนยังไม่มาก หรือต้องการซื้อสะสมหุ้นที่ละน้อย ซึ่งอาจมียอดการซื้อหรือขายที่น้อยกว่า 40,000บาท ต่อวัน ก็จะทำให้ท่านต้องเสียค่าคอมมิสชั่น ขั้นต่ำ ที่ 100บาท ซึ่งจะทำให้ท่านมีต้นทุนของค่าคอมมิสชั่นที่มากกว่า 0.21% เป็นต้น
3. การอบรม การจัดสัมมานา การใช้เครื่องมือ อินเทอร์เน็ต มีหรือไม่
4. ระบบป้องกัน หากระบบเกิดปัญหา และวิธีแก้ไข
5. การส่งคำสั่ง หรือ ยกเลิกคำสั่ง ด้วยเจ้าหน้าที่การตลาด ผ่านบัญชีอินเทอร์เน็ต ได้ทันทีหรือไม่ หากลูกค้าไม่สามารถส่งคำสั่งได้เอง
6. ระบบการซื้อขาย เป็นแบบพอร์ตรวม หรือพอร์ตแยกบัญชีที่ซื้อขายผ่านเจ้าหน้าที่การตลาด
7. มีระบบข้อมูลจากตลาดหลักทรัพย์ หรือโปรแกรมเสริม ที่ใช้ในการตัดสินใจในการลงทุน หรือไม่ เช่น e-finance , Webhoon, SET Smart
8. ความแตกต่างของระบบที่ใช้ส่งคำสั่ง เช่นการจัดรูปแบบหน้าจอ และ ข้อมูลของฟังชั่นต่างๆ
9. สามารถดูหุ้น และส่งคำสั่งผ่านมือถือ หรือ pocket PC Phone หรือไม่
10. จำนวนเจ้าหน้าที่ของหน่วยงาน Internet Trading มีมากน้อยเท่าใด และจะส่งคำสั่งในกรณีที่ระบบขัดข้องได้อย่างไร
11. จำนวน pincode และ password ว่ากี่ตัวอักษร / ซึ่งจำนวนตัวเลขที่กำหนดไว้ขั้นต่ำมากเกินไป เช่น โบรกเกอร์ A กำหนดไว้6ตัว กับ โบรกเกอร์ B กำหนดไว้ 4ตัว ดังนั้นเมื่อมี การส่งคำสั่งซื้อขายเกิดขึ้น ก็อาจจะมีผลต่อเวลา ในการส่งค่ำสั่งเช่นกัน
12. มีระบบ E-report ที่มีประสิทธิภาพ และ สามารถดูยอดการยืนยันซื้อขายย้อนหลังได้ หรือไม่ /