มาถึงตอนสุดท้าย สำหรับกลยุทธ์การลงทุน กันแล้วนะครับ ซึ่งใน4 ข้อสุดท้ายนี้ จะพูดถึง เรื่องสติกับการลงทุนเป็นสิ่งสำคัญ ครับ เพราะฉะนั้นต้องไม่เข้าข้างตัวเองจนเกินไป มองในแง่ดีเท่านั้น ส่วนเรื่องความคิด ก็ต้องไม่ฟังเสียงคนส่วนใหญ่ หรือเก็งกำไรตามคนส่วนใหญ่ เพราะ จังหวะการลงทุนที่ดี ก็คือซื้อหุ้นตอนที่ไม่มีคนอยากซื้อ และกฎการเก็งกำไรข้อสุดท้าย ครับน่าสนใจเลยทีเดียว เพราะพูดถึงเรื่องการวางแผนการลงทุน ทึ่ให้นักเก็งกำไรหลีกเลี่ยงการลงทุนในระยะยาว เพราะ เราไม่มีโอกาสที่จะรู้ว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร
ข้อ 9. เรื่องของทัศนคติมองโลก
การมองโลกในแง่ดีคือความหวังที่จะให้สิ่งที่ดีที่สุดบังเกิดขึ้น ในขณะที่ความมั่นใจคือความรู้ตัวว่าจะสามารถรับกับเหตุการณ์ที่เลวร้ายที่สุดได้ จงอย่าตัดสินใจโดยอาศัยการมองโลกในแง่ดีแต่เพียงอย่างเดียว
หลักการข้อนี้กล่าวว่าคุณไม่ควรตัดสินใจโดยอาศัยทัศนคติมองโลกในแง่ดีเท่านั้น ก่อนที่คุณจะลงทุนขอให้ถามตนเอง ก่อนว่าทางออกของคุณคืออะไรถ้าหากทุกอย่างผิดพลาด และเมื่อใดก็ตามที่คุณทราบคำตอบนี้ล่วงหน้า คุณจะมีอะไรบางอย่างที่ดีกว่าการมองโลกในแง่ดี หรือเหนือกว่าคนทั่วไปมาก นั่นคือความมั่นใจในตนเอง
ข้อ 10. เรื่องของเสียงส่วนใหญ่
จงอย่าฟังเสียงส่วนใหญ่ เพราะมันอาจจะผิดก็ได้
เคล็ดลับแห่งความสำเร็จของหลักการนี้คือ จงอย่าเชื่อเรื่องที่คนอื่นเล่าให้ฟัง จนกว่าคุณจะได้มีโอกาสคิดเองให้รอบคอบเสียก่อน จริงอยู่ที่คนส่วนใหญ่อาจจะถูก แต่โอกาสดังกล่าวก็เป็นไปได้น้อย ขอให้คุณอย่าเชื่อคำพูดที่ได้ยินบ่อยๆ โดยไม่มีการวินิจฉัยด้วยตนเอง ขอให้พิจารณาดูให้ถ่องแท้เสียก่อนและอย่ายอมให้เสียงส่วนใหญ่ปั่นหัวคุณเล่นได้
จงอย่าเก็งกำไรตามคนส่วนใหญ่ ในหลายๆครั้งจังหวะที่เหมาะแก่การซื้อมากที่สุดคือเมื่อทุกคนไม่ต้องการซื้อ
คุณควรจะดื้อรั้นและต่อต้านแรงกดดันของเสียงส่วนใหญ่ อย่าปล่อยให้ตนเองยินยอมกับตลาดเสมอ ขอให้ศึกษาสถานการณ์ด้วยตัวคุณเองให้ดี พยายามคิดวิเคราะห์ด้วยสมองคุณเอง และคุณอาจจะพบว่าคนส่วนใหญ่อาจผิดก็ได้เหมือนกัน แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าเสียงส่วนใหญ่จะผิดเสมอไป ถ้าคนส่วนใหญ่พูดถูก คุณก็ต้องคล้อยตามพวกเขา หลังจากตรึกตรองดูแล้ว โดยสรุปแล้วไม่ว่าคุณจะตัดสินใจในเรื่องอะไร ขอให้คุณคิดอย่างอิสระด้วยตัวเองเสียก่อน อย่าไปสนใจเสียงหมู่มาก
ข้อ 11. เรื่องของความดื้อรั้น
ถ้าผลลัพธ์ครั้งแรกไม่คุ้มค่า ก็ขอให้ลืมครั้งต่อไปเสีย
ถ้าหากคุณลงทุนในหลักทรัพย์หรือศิลปวัตถุแล้วเกิดขาดทุนขึ้นมา คุณจะไปตีโพยตีพายว่าหลักทรัพย์ดังกล่าวเป็น หนี้ คุณ ย่อมเป็นเรื่องเหลวไหล ผิดหลักตรรกวิทยา และยิ่งถ้าคุณมีความคิดผิดๆเช่นนี้ฝังลึกเท่าใด โอกาสที่คุณจะไล่ตามและเสียเงินเพิ่มก็มีมากขึ้นเท่านั้น คุณไม่จำเป็นที่จะต้องได้กำไรจากหลักทรัพย์ที่คุณเสียไป เพราะกำไรที่คุณได้ย่อมเหมือนกันหมด ไม่ว่าจากหลักทรัพย์ตัวใดก็ตาม เพราะเงินก็คือเงินนั้นเอง
เหตุผลที่คนเราดื้อดึงนั้นคงเกิดจากอารมณ์เดือดปนกับความแค้น และความต้องการเอาชนะในสิ่งที่เสียไป ทำให้จิตใจของคุณวิ่งออกนอกลู่นอกทางไปอย่างน่าเสียดาย คุณจำเป็นต้องบังคับมิให้ตนเองตกเป็นเหยื่อของอารมณ์ให้ได้
จงอย่าพยายามบรรเทาความเสียหายของการลงทุนที่พลาดไปแล้ว ด้วยการเฉลี่ยความเสียหายให้น้อยลง
การซื้อเฉลี่ยต้นทุน เป็นการกระทำที่โง่เขลาและหลอกลวงตนเอง เพราะการที่หุ้นได้ปรับลดลงมา ณ ระดับหนึ่งจะต้องมีสาเหตุอะไรอยู่เบื้องหลัง คุณน่าจะศึกษาหาสาเหตุที่ว่านี้ให้ได้ ซึ่งในที่สุดคุณก็อาจพบว่าบริษัทนี้กำลังเผชิญกับมรสุมเลวร้าย ผลกำไรตกต่ำ และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ทำไมคุณจึงซื้อหุ้นบริษัทนี้เพิ่มล่ะ?
ทุกครั้งก่อนที่คุณจะซื้อหุ้นเพิ่มเพื่อเฉลี่ยค่าความเสียหายต่อหุ้นลงนั้น ขอให้คุณลองถามตนเองก่อนว่า บริษัทนี้ดีพอที่คุณจะลงทุนเพิ่มแล้วหรือ? ถ้าหากคำตอบของคุณคือ ไม่ ก็จงอย่าทุ่มเงิน ลงในหุ้นนี้อีกเลย
ข้อ 12. เรื่องของการวางแผน
การวางแผนระยะยาวอาจทำให้ผู้วางแผนเข้าใจผิดคิดว่าตนเอง สามารถควบคุมอนาคตได้แล้ว เพราะฉะนั้นจงอย่ายึดถือแผนระยะยาวให้มากจนเกินไป
การวางแผนคือภาพลวงตาของความมีระเบียบที่จะฝังแน่นกับคุณจวบจนตลอดชีวิต ที่กล่าวว่าเป็นภาพลวงตา เพราะในโลกแห่งการเงินในยี่สิบปีข้างหน้าเป็นโลกแห่งความมืดมนที่ซ่อนอยู่หลังม่านทึบและไม่มีแสงสว่างลอดผ่าน คุณไม่อาจทราบได้เลยว่าเมื่อถึงวันนั้นแล้ว โลกแห่งการเงินยังจะมีอยู่หรือเปล่า? เพราะฉะนั้นจงอย่าทำตามแผนซึ่งอาศัยภาพในอนาคตที่ยาวไกล แต่จงตอบสนองต่อเหตุการณ์จริงที่เกิดขึ้นจะดีกว่าและถ้าเมื่อใดที่คุณคิดว่ามีโอกาสดีก็ให้รีบลงมือ แต่ถ้าเมื่อใดที่คุณมองเห็นความน่ากลัว ก็ขอให้รีบกระโดดหนี การวางแผนการเงินระยะยาวชนิดเดียวที่คุณต้องการคือความตั้งใจที่จะร่ำรวยเท่านั้น แต่ว่าจะด้วยวิธีใดโดยเฉพาะนั้นคุณไม่อาจจะทราบได้ ทราบแต่ว่าแผนการของคุณเองก็ควรจะมีความยืดหยุ่นด้วยเช่นกัน
จงหลีกเลี่ยงการลงทุนระยะยาว
เพราะคุณไม่มีโอกาสทราบว่าโลกในอนาคตจะเป็นอย่างไร และเมื่อถึงเวลานั้นคุณก็ไม่ทราบว่าโลกเราจะเปลี่ยนไปจนเงินที่คุณได้รับคืนจากการลงทุนระยะยาวจะมีค่าหรือไม่? เพราะฉะนั้นทำไมคุณจึงตัดสินใจมัดตัวเองกับแผนการลงทุนระยะยาวละ? เพราะสิ่งเดียวที่คุณจะทราบได้เกี่ยวกับอนาคตก็คือ เมื่อถึงวันนั้นคุณก็จะรู้เอง ว่าคุณไม่อาจมองเห็นอนาคตได้จากวันนี้ แต่อย่างน้อยคุณย่อมสามารถเตรียมตัวเผชิญหน้ากับโอกาสหรือความท้าทายในวันข้างหน้าได้ ไม่ควรอยู่เฉยๆ และรอให้ทุกอย่างมาถึงประชิดตัว
"การเป็นนักวิเคราะห์ เป็นงานที่หนัก การเป็นนักเก็งกำไร งานหนักกว่ามาก ผู้ที่ชนะในการเก็งกำไรประสบความสำเร็จได้นั้น มักเป็นผู้ที่ยินดีที่จะทำงานหนัก เพื่อให้ได้มาซึ่งความสำเร็จ ส่วนผู้ที่แพ้ในตลาด คือผู้ที่อยากได้สิ่งที่กล่าวมาทั้งหมด โดยไม่ได้ลงแรงอะไรเลย หวังว่าทุกอย่างเป็นสิ่งสำเร็จรูป"
"หากนักเก็งกำไร ไม่พัฒนาตัวเองไปกับการเปลี่ยนแปลงตลาดที่เกิดขึ้นตลอดเวลานั้น ก็จะอยู่ไม่นาน เพราะไม่มีตรรกของตลาดใดที่ เป็นอย่างเดิมตลอดไป"