เศรษฐกิจวิเคราะห์ ประเด็นที่น่าจับตากับภาวะเงินเฟ้อ
วันพุธที่ 7 มิ.ย.นี้ คณะกรรมการกำหนดนโยบายทางการเงิน จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ย RP 14วันขี้นอีกหรือไม่ น่าที่จะเป็นประเด็นที่ควรจับตา เพราะสภาวะการลงทุนของบ้านเรานะตอนนี้ ดูน่าที่จะเป็นห่วง จาก แนวโน้มของเงินเฟ้อมีแต่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งเกิดจากสภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น มาตลอดสองปีที่ผ่านมา โดยหากเราดูตัวเลขเงินเฟ้อในเดือน พ.ค.49 ที่มีการปรับตัวขึ้นเป็น 6.2%เมื่อเทียบกับเดือน พ.ค.ปี48หรือปีที่แล้ว และปรับตัวสูงขึ้นจากเดือนเมษายนที่ผ่านมา ที่ 0.7% ซึ่ง ตัวเลขนี้ดูจะสูงกว่าที่ปลัดกระทรวงพาณิชน์คาดการณ์ไว้ที่ ระดับ6.0% ซึ่งหมวดน้ำมันเชื้อเพลิงมีการปรับตัวขึ้นถึง 32%เมื่อเทียบกับ ปีที่แล้ว
ส่วนตัวเลขบัญชีเดินสะพัดในเดือนเมษายน มีการขาดดุลถึง 283ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเกิดจากการส่งออกที่มีการขยายตัวลดลง โดยการขาดดุลนี้เป็นการขาดดุลครั้งแรกในรอบ 10เดือนนับแต่กรกฎาคม2548 ซึ่งหากเทียบกับเดือนมีนาคมที่ยังมีตัวเลขเกินดุลบัญชีเดินสะพัดถึง 485ล้านดอลลาร์สหรัฐ ตัวเลขนี้น่าที่จะส่งสัญญาณอะไรบางอย่างว่าเศรษฐกิจไทย อาจจะต้องมีความระมัดระวังมากขึ้น จากการชะลอตัวของการบริโภคและการลงทุนใน ธุรกิจต่างๆ
ซึ่งเป้าหมายของรัฐบาลยังคงตั้งเป้าของอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ที่ประมาณ 4-4.5% บนพื้นฐานของค่าเงินบาท ที่ระดับ 39-40บาทต่อสหรัฐ และคงรักษาค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำไว้ที190บาทต่อวัน บนพื้นฐานราคาน้ำมันไว้ที่ 27.50บาทต่อลิตร เพื่อที่จะยังคงรักษาเป้าหมายเงินเฟ้อทั้งปีไว้ที่ 4.5% ดังนั้นหากตัวแปรตัวใดตัวหนึ่งเปลี่ยนแปลงไป จะต้องมีการปรับกลยุทธใหม่ซึ่งจะส่งผลโดยตรงไปยัง ค่าเงินบาทที่จะเป็นตัวชี้วัดความแข็งแกร่งทางเศรษฐกิจ ซึ่งการปรับอัตราดอกเบี้ย จะเป็นนโยบายอันหนึ่งที่ควบคุม ค่าเงินบาทอีกทีหนึ่งและเพื่อเป็นตัวควบคุมเศรษฐกิจและทิศทางการเงินการลงทุนขณะนั้นได้
ดังนั้น เราเชื่อว่าธนาคารแห่งประเทศไทยน่าที่จะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นอีก 0.25% เนื่องจากเฟดยังคงส่งสัญญาณการปรับอัตราดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง โดยการประชุมของเฟดครั้งถัดไปจะมีขึ้นในวันที่ 26มิ.ย.นี้ เพราะปัจจุบันเงินบาทเริ่มมีการสัญญาณการอ่อนค่าจากสภาวะการชะลอตัวทางเศรษฐกิจและ การถอนเงินกลับจากนักลงทุนต่างประเทศ ที่มีการขายหุ้น ถอนการลงทุนออกจากตลาดหุ้นในเอเซีย เพราะหากแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยยังคงปรับตัวสูงขึ้นเช่นนี้ จะทำให้เม็ดเงินลงทุนในหุ้นบางส่วนจะถูกไหลกลับไปสู่ตลาดเงินมากขึ้นเพราะตลาดเงินให้ผลตอบแทนที่มากขึ้นและอาจมากกว่าเงินปันผลในตลาดหุ้น ณ ปัจจุบัน โดยมีความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ดังนั้น ตลาดหุ้น ณ ช่วงนี้ คงจะไม่สดใสเท่าไหร่นักสำหรับนักลงทุน เพราะจะไม่มีการปรับตัวขึ้นอย่างหวือหวา อย่างที่เคยเป็น แต่จะปรับตัวขึ่นลงเป็นรอบสั้นๆ ตราบจนกว่าดอกเบี้ยของตลาดโลกจะนิ่ง