ReadyPlanet.com


“วิธีการทำงานของนิตยสารระดับโลก”


 “วิธีการทำงานของนิตยสารระดับโลก”

 

โดย...วิกรม  กรมดิษฐ์

เมื่อสองสามเดือนที่แล้วนิตยสารฟอร์บส์ได้ติดต่อขอสัมภาษณ์ผมเกี่ยวกับประวัติ การทำธุรกิจตลอดจนมุมมองต่อสภาวการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันเพื่อที่จะนำบทสัมภาษณ์ลงในนิตยสารของเขาฉบับเดือนกรกฎาคม   จากการได้พูดคุยกับเจ้าหน้าที่ ที่ทำการสัมภาษณ์ซึ่งเป็นนักศึกษาปริญญาโทที่ศึกษาต่ออยู่ในสหรัฐอเมริกา และทำงานพาร์ทไทม์กับกองบรรณาธิการนิตยสารฟอร์บส์ซึ่งเป็นนิตยสารเก่าแก่เล่มหนึ่งที่ก่อตั้ง ตั้งแต่ ค.ศ. 1917 มานั้นตลอดจนได้สังเกตวิธีการทำงานอย่างเป็นระบบ มาตรฐานสากล มีจรรยาบรรณ เคารพแหล่งข่าวแล้วผมรู้สึกทึ่ง และคิดว่าสื่อของบ้านเราน่าจะศึกษาวิธีการดังกล่าวมาเป็นแบบอย่างดูบ้าง ( แต่ผมไม่ได้หมายความว่าสื่อบ้านเราทำงานไม่ดีนะครับ เพียงแต่ขั้นตอนของเราอาจไม่ละเอียดเท่าเขา ซึ่งเป็นเรื่องจากประสบการณ์ที่ผมได้สัมผัส ) ทั้งนี้กระบวนการทำงานที่รัดกุม เป็นขั้นตอนและมีการตรวจสอบหาข้อมูลเบื้องต้น – ข้อมูลจากบุคคลรอบข้าง (นอกเหนือไปจากการที่เขาสัมภาษณ์ผมแล้วยังมีการสัมภาษณ์บุคคลที่เกี่ยวข้อง ) และการส่งข้อมูลบทสัมภาษณ์มาให้ตรวจสอบเพื่อยืนยันหรือแก้ไขหากมีข้อผิดพลาดอันเกิดจากการสัมภาษณ์ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้ล้วนแต่เป็นการทำงานที่ผมรู้สึกได้ว่าเขาทำงานกันแบบ “ไม่สุกเอาเผากินและเขียนจากความเป็นกลางบนพื้นฐานของความเป็นจริง”  

พอพูดถึงนิตยสารฟอร์บส์ก็ทำให้ผมอยากจะนำเรื่องของ “คนรวยระดับโลก” ซึ่งได้รับการจัดอันดับจากนิตยสารฟอร์บส์ไปเมื่อไม่นานมานี้  หากมองตามจำนวนตัวเลขจากการจัดอันดับเศรษฐีโลกแล้ว จะพบว่ามีคนไทยติดอันดับคนรวยระดับโลกอยู่เหมือนกัน แต่เป็นจำนวน***ส่วนที่น้อยมาก หากเทียบกับจำนวนคนรวยหลาย ๆชาติ   ประชากรโลกในปัจจุบันกว่า 6,500 ล้านคน ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านมานี้ได้มีการเปลี่ยนแปลงของประชากรมนุษย์อย่างรวดเร็วพร้อม ๆ กับการขยายตัวทางเศรษฐกิจของโลก สาเหตุก็เพราะโลกของเราในทุกวันนี้มีการติดต่อสื่อสารกันมากขึ้น และการคมนาคมสะดวกสบาย จึงทำให้การร่วมมือของมนุษย์ต่างเผ่าพันธ์กันมีมากขึ้น ไม่ว่าจะผ่านทาง UN หรือ  WTO ทำให้คนกลุ่มหนึ่งสามารถสร้างฐานะของตัวเองให้กลายมาเป็นเศรษฐีระดับโลกได้มากที่สุดช่วงหนึ่งเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นสินทรัพย์ที่มีมากขึ้นของเศรษฐีเก่าบางคน หรือจำนวนเศรษฐีใหม่ที่ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

        ผมขอเจาะไปที่สหรัฐอเมริกาซึ่งมีประชากรเพียง 4% จากจำนวนประชากรทั้งโลก แต่ตัวเลขของเศรษฐีโลกที่มีเชื้อสายอเมริกันกลับมีจำนวนถึงเกือบ 50% ถือว่าเป็น***ส่วนที่สูงมาก และรองลงมาคือ ยุโรป เอเชียแปซิฟิค หากมองในมุมกลับกันจะพบว่าประชากรเอเชียแปซิฟิคที่มีมากเกิน 50 % ของประชากรโลก แต่นับจำนวนเศรษฐีระดับโลกรวมกันแล้วยังไม่ถึง 15% ของทั้งหมดด้วยซ้ำ เรียกได้ว่าเป็นตัวเลขที่น่าตกใจมากทีเดียว เพราะที่สำคัญคือ 15% นี้กระจุกอยู่ในกลุ่มคนไม่กี่กลุ่มซึ่งบ่งบอกถึงช่องว่างทางเศรษฐกิจที่ยังมีมากเหลือเกินในประเทศแถบเอเชียแปซิฟิค ถึงแม้ว่าจำนวนเศรษฐีโลกจะอยู่ในสหรัฐอเมริกาเสียกว่าครึ่ง แต่ตัวเลขที่น่าแปลกใจมากก็คือ จำนวนเงินสำรองภายในประเทศของทั้งโลกหรือเงินสด ปรากฎว่ากว่าครึ่งอยู่ในเอเชีย และมีการเพิ่มขึ้นมาอย่างรุนแรงและรวดเร็วแบบต่อเนื่องโดยเฉพาะ 5 ปีที่ผ่านมา มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างไม่หยุดยั้ง ซึ่งเป็นผลที่เกิดมาจากการที่จีนกำลังขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว และญี่ปุ่นเองก็กำลังมีการกลับมารุ่งเรือง และประสบความสำเร็จทางธุรกิจอีกครั้ง แม้กระทั่งอินเดียเองมีการเติบโตอย่างรวดเร็วถูกจับตาว่าจะกลายมาเป็นเสือตัวใหม่ของเอเชีย รวมไปถึงภาพรวมของเศรษฐกิจอาเซียนที่กำลังฟื้นตัวจากภัยพิบัติทางเศรษฐกิจ สิ่งนี้ทำให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องในทวีปเอเชีย เพราะเงินลงทุนจากต่างชาติกำลังไหล่บ่าเข้ามาอย่างรวดเร็วและรุนแรง ทำให้อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดเท่าที่เคยเป็นมาและทำให้นักธุรกิจทั่วโลกต่างหลั่งไหลวางแผนเข้ามาลงทุนในเอเชียเพื่อไม่ไม่ยอมตกขบวนรถไฟ พอดีเนื้อที่หมดขอต่อสัปดาห์หน้านะครับ

 

( ต่อตอน 2 ) 28 กรกฎาคม  2549

สัปดาห์ที่แล้วผมได้ชี้ให้เห็นถึง***ส่วนของมหาเศรษฐีของโลกในแต่ละทวีปที่มีแง่มุมที่น่าสนใจและควรแก่การศึกษาตลอดจนวิเคราะห์ให้เห็นภาพสะท้อนสภาวะเศรษฐกิจของภูมิภาคนั้น ๆ ได้  คราวนี้ขอด้วยว่า ฐานเศรษฐกิจของเอเชียถึงแม้จะมีการเติบโตสูง แต่มองในแง่ของตัวเองจะพบว่าเรามี GDP ห่างจากอเมริกาและยุโรปอยู่มากเลยทีเดียว เพราะ GDP ของทั้งโลกมี 45 ล้านล้านเหรียญ ซึ่งคนไทยมี GDP เพียง  1แสน 7 หมื่นเหรียญเท่านั้น ถือเป็นตัวเลขที่ห่างไกลกันมาก

          GDP 45 ล้านล้านเหรียญของโลกนั้น กลายเป็นของอเมริกาและยุโรปไปแล้วกว่าครึ่ง คืออยู่ที่ประมาณ 24 ล้านล้านเหรียญ และหากจะมองไปที่ญี่ปุ่นซึ่งถือเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกมี GDP อยู่ที่ประมาณ  5 ล้านล้านเหรียญ และเป็นของจีน 2.7 ล้านล้านเหรียญ  ซึ่งผมคิดว่า***ส่วนของ GDP ในญี่ปุ่น และจีนหากเทียบกับระดับโลกแล้ว ยังถือเป็น % ที่น้อยอยู่ และหากจะรวมเอาประเทศอื่น ๆ ทั้งหมดในเอเชียเข้าไปอีก ตัวเลข GDP ก็ยังไม่ถึง 40 % ของ GDP โลก แต่กลับกลายเป็นว่าประชากรเอเชียมีอยู่ครึ่งหนึ่งของประชากรโลก

      และนี่คงเป็นคำถามที่ให้เราทุกคนช่วยกันคิดว่า “ทำไมประสิทธิภาพและผลประกอบการของคนเอเชียจึงมีต่ำ  ทั้งที่เราบอกอยู่เสมอว่าคนเอเชียฉลาดขยันทำงานหนักไม่แพ้ชนชาติใดในโลกนี้ ผมมักตั้งคำถามว่าเราทำงานไม่ถูกต้องหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่ผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการผลิตในเอเชียจะมีราคาค่อนข้างต่ำ หรือเราไม่มีการบริหารงานที่ไร้ประสิทธิภาพกันแน่ประเด็นนี้น่าคิด

นะครับนอกจากนี้การที่ฝรั่งมองพฤติกรรมการดำเนินชีวิตของคนเอเชียที่มีลักษณะพิเศษก็คือ คนเอเชียอาจจะมัวแต่งมงาย มีการคารวะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เสมอไม่ว่าจะเทศกาลใดก็ตาม ล้วนแล้วแต่เป็นการสิ้นเปลืองและถือเป็นต้นทุนทางธุรกิจแทบทั้งสิ้น( คือเป็นการทำแบบเกินพอดี )  และเป็นจำนวนเงินอย่างมหาศาล เพียงเพื่อสร้างความมั่นใจและเพิ่มความเชื่อมั่นในการทำธุรกิจและการลงทุน ซึ่งหากมองในแง่เศษฐศาสตร์จะพบว่ามันมีผลกระทบต่อการวางแผนต้นทุน และการตัดสินใจทางธุรกิจในเชิงการคิดอย่างมีเหตุผล

คราวนี้ลองย้อนกลับไปมองถึงผู้ร่ำรวยระดับโลกทั้งหลายที่นิตยสารฟอร์ปสได้เลือกมาถึง 793 คน โดยเอามาตรฐานทรัพย์สิน 1,000 ล้านเหรียญมาเป็นตัววัด จะพบว่า กว่า 60% ของคนเหล่านี้ร่ำรวยมาจากความสามารถของตนเอง อีกจำนวนหนึ่งเป็นพวกที่ได้รับมรดกหรือจากการแต่งงาน ซึ่งแน่นอนว่าเศรษฐีเหล่านี้ ไม่ได้พึ่งพาเรื่องโชคชะตาเลย โดยเฉพาะ 10 อันดับแรก ที่รำรวยมาจากธุรกิจที่ตนเองถนัด และเป็นธุรกิจที่ตลาดโลกต้องการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องสินค้าไฮเทค หรือเรื่องโนว ฮาวน์ หรือการบริหารที่มีระบบทั้งสิ้น ถือว่าเขาเหล่านี้มีต้นทุนทางการตลาดที่ต่ำ และสินค้าของพวกเขาก็มีราคาสูง และมีตลาดขนาดใหญ่รองรับอีกด้วย

ผมมองว่าการที่คนอเมริกันติดอันดับเศรษฐีโลกเป็นจำนวนมากนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลักษณะเฉพาะของคนอเมริกันที่ชอบศึกษาและถ่ายทอดเกี่ยวกับองค์ความรู้ต่าง ๆ รวมไปถึงการที่ตลาดสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดใหญ่เพราะ GDP ของสหรัฐอเมริกานั้น ถือเป็น  25 % ของโลกเลยทีเดียว จึงเป็นตัวสร้างรายได้ให้คนอเมริกันมีมากกว่าคนอื่น โดยเฉพาะอุตสาหกรรมบางอย่างที่อเมริกันทำได้ดีกว่าคนอื่นอย่างเช่น อุตสาหกรรมบันเทิงฮอลลีวู้ดที่ทำเงินให้กับอเมริกันอย่างมากมายมหาศาล หรือแม้แต่ค่ายเพลง ต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่มีสัญชาติอเมริกัน และกำลังกวาดเงินออกจากกระเป๋าคนทั่วโลกอย่างต่อเนื่องแบบเจ้าของเงินไม่มีทางรู้ตัวเลย

          ในปีนี้นิตยสารฟอร์ปส์ จัดอันดับคนรวยทั้งหมด 793 คนโดยใช้จำนวนสินทรัพย์ขั้นต่ำที่ 1,000 ล้านเหรียญเป็นตัวชี้วัด คนที่รวยที่สุดในโลกก็คือบิลล์ เกตต์เจ้าพ่อไมโครซอฟท์ที่ยึดเอาตำแหน่งคนรวยที่สุดในโลกมาครองไว้ยาวนานต่อเนื่องถึง 12 ปี โดยมีสินทรัพย์ทั้งสิ้น 50,000 ล้านเหรียญ ซึ่งด้วยจำนวนตัวเลขขนาดนี้มีมูลค่ามากกว่างบประมาณรายจ่ายของประเทศไทยถึงสองเท่า และคนที่เอเชียที่รวยที่สุดในโลกคือ ลักษมี มิตทาล เจ้าของธุรกิจเหล็กรายใหญ่ของโลก  สินทรัพย์ของคนรวยทั้ง 793 คนนี้มารวมกัน จะได้ตัวเลขมากมายมหาศาลถึง 2.6 ล้านล้านเหรียญ

สำหรับมหาเศรษฐีที่เป็นสุภาพสตรีนั้น มีผู้ติดอันดับทั้งสิ้น 78 คน โดยผู้ที่น่าสนใจมากที่สุดคือ น.ส.ฮินด์ ฮารีรี มหาเศรษฐีอายุน้อยที่สุดในโลก อายุเพียง 22 ปี ซึ่งฮินด์ ฮารีรี เป็นบุตรสาวของ นายราฟิก ฮารีรี นายกรัฐมนตรีเลบานอน ผู้ถูกลอบสังหารเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ปีที่ผ่านมา  เธอมีทรัพย์สิน 1,400 ล้านดอลลาร์ ติดอันดับที่ 562 จากทั้งหมด 793 อันดับ 

จำนวนเศรษฐีโลกที่เป็นคนอเมริกันมีจำนวนถึง 371คน มีมูลค่าทรัพย์สินรวม 1.1 ล้านล้านเหรียญ รองลงมาเป็นคนยุโรป 96 คน ที่มีทรัพย์สินรวมกันถึง 8 แสนล้านเหรียญ รัสเซียเองถือเป็นประเทศดาวรุ่งที่มีจำวนเศรษฐีใหม่มากที่สุดคือกว่า 33 คน  และในเอเชียแปซิฟิคนั้นมีเศรษฐีโลก  115 คน ทรัพย์สินรวมกัน 360,000 ล้านเหรียญโดยมีอินเดียเป็นประเทศดาวรุ่ง เพราะมีเศรษฐีโลกถึง  23 คน แต่ญี่ปุ่นยังครองแชมป์ด้วยตัวเลขเศรษฐีโลกถึง 27 คน  และที่น่าจับตามองคือเศรษฐีโลกที่อยู่ในจีนเพราะตอนนี้มีจำนวนถึง 8 คนและผมคาดว่าในอนาคตจะต้องมีเพิ่มมากขึ้นกว่านั้นแน่ ๆ เพราะจีนกำลังขยายตัวทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว สำหรับเศรษฐีโลกที่ร่ำรวยมาจากการก่อร้างสร้างตัวด้วยตนเองนั้นมีถึง 452 คน

          ผมขอฝากเอาไว้ว่าอยากให้คนไทยเราเลิกงมงายกับเรื่องไสยศาสตร์ ดวงชะตา และหันมาสนใจการใช้ความคิด การวางแผนด้วยเหตุและผลกันเถิดครับโอกาสที่เราจะร่ำรวย และมีความสุขนั้นย่อมเป็นไปได้อย่างแน่นอน



ผู้ตั้งกระทู้ musashi โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2006-09-22 10:58:04 IP : 221.128.90.151


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (713220)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-07-18 14:55:51 IP : 203.146.127.159


ความคิดเห็นที่ 2 (748546)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-08-24 17:13:21 IP : 203.146.127.179



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.