ReadyPlanet.com


บทความ Classic ของการปั่นหุ้นที่ยังใช้ได้ในปัจจุบัน


ผมได้อ่านบทความนี้ และมีความเห็นด้วยเป็นอย่างมาก ซึ่งมันคือเรื่องจริงที่เกิดขึ้นทุกยุคสมัยและทุกแห่งทั่วโลก ซึ่งความเป็นจริงนั้น คือกลยุทธ์ทางการตลาด(ปั่นหุ้น) ที่ต้องผสมผสาน พื้นฐาน(สินค้าดี) เทคนิค(เพิ่มสิ่งเร้า) ข่าว (มีโฆษณาสนับสนุน) และการวางแผน ซึ่งแม้จะใช้เวลา และผลตอบแทนมันคุ้มค่ามากครับ ดังนั้น การวิเคราะห์ทางเทคนิค และพื้นฐาน มันสามารถสอดคล้องกัน เพียงแค่มุมที่มองต่างกันเท่านั้น ซึ่งนักลงทุนควรเข้าใจถึงเหตุและผลที่เกิดขึ้นจากเรื่องราว ที่อยู่ด้านล่างนี้ครับ

 

 

ปั่นหุ้นคุณค่า

โลกในมุมมองของ Value Investor

ดร. นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

                ในระยะหลัง ๆ นี้ หุ้น "คุณค่า" หลาย ๆ ตัววิ่งเหมือนติดจรวดจนดูคล้ายกับเป็น "หุ้นปั่น"  หุ้นเหล่านั้น จะถูกปั่นจริงหรือไม่คงจะบอกได้ยาก  แต่ถ้าถามว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่จะมีการปั่นหุ้น "Value"  คำตอบของผมก็คือ  ลองฟังคำสารภาพของ  Jesse Livermore นักเก็งกำไรที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของตลาดหุ้นสหรัฐในช่วงปี 1923 ก่อนที่จะมีกฎหมาย กลต. ที่ห้ามการปั่นหุ้น คำบอกเล่าของเขาปรากฏอยู่ในหนังสือคลาสสิคเรื่อง Reminiscences of a Stock Operator  หรือ "บันทึกความทรงจำของนักเล่นหุ้น" และต่อไปนี้คือเรื่องราวและเท็คนิคที่เขาใช้ในการปั่นหุ้นคุณค่า

                หุ้นที่พูดถึงคือหุ้น Imperial Steel (IS) ซึ่งเป็นหุ้นที่เพิ่งเข้ามาจดทะเบียนในตลาด มีการทำ IPO โดยการขายหุ้นให้กับประชาชนคิดเป็น 30 % ของหุ้นทั้งหมด เจ้าของกิจการเป็นคนที่มีชื่อเสียงดีและหุ้นมีราคาไม่แพง  อย่างไรก็ตาม  หลังจากเข้าเทรดแล้ว  หุ้นก็เงียบเหงา  และแม้ว่าโบรกเกอร์ผู้จัดจำหน่ายหุ้นจะบอกว่ากำไรของบริษัทจะดีกว่าที่คาดและแนวโน้มน่าจะดีแต่มันก็ไม่หวือหวา   ความน่าสนใจในแง่ของการเก็งกำไรยังไม่มี  ในด้านของนักลงทุนเอง  ก็ยังไม่แน่ใจในด้านของความแน่นอนของกำไรและเงินปันผลเพราะเป็นหุ้นใหม่  ราคาหุ้นจึงค่อนข้างนิ่ง  ไม่ขึ้นและไม่ลง  ที่สำคัญกว่าคือ แทบไม่มีการซื้อขาย เรียกว่าเป็นหุ้นตาย  คุณซื้อแล้วก็เหมือนเก็บศพ  ขายไม่ได้ เพราะราคาจะตกมาก

                วันหนึ่ง  เจ้าของมาติดต่อ Livermore ขอให้ช่วยทำตลาดให้หุ้นมีการซื้อขายคึกคักและมีราคาสูงขึ้นเพื่อที่ว่ากลุ่มเจ้าของเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 70% จะได้สามารถขายหุ้นได้ในราคาที่ดีขึ้น   หลังจากตรวจดู  ศึกษา และวิเคราะห์ข้อมูลของกิจการอย่างละเอียดและพบว่ากิจการมีคุณค่าคุ้มกับราคาหุ้นในขณะนั้น Livermore ก็ตอบตกลงโดยมีเงื่อนไขว่า  ข้อแรก เขาจะได้รับสิทธิ์ที่จะซื้อหุ้น IS 100,000 หุ้นที่ราคา 70-100 เหรียญ ซึ่งเขาคิดว่าถึงจะเป็นค่าจ้างที่ดูเหมือนจะมาก  แต่ถ้าเจ้าของจะขายเองในตลาดคงจะขายมากขนาดนั้นไม่ได้  อย่างมากก็ขายได้แค่ 50,000 หุ้นที่ 70 เหรียญ  ข้อสอง  เจ้าของหุ้นทั้งหมดจะต้องนำหุ้นมาเก็บไว้ในทรัสต์เพื่อกันไม่ให้คนใดคนหนึ่งแอบขายหุ้นในระหว่างที่เขาจะ "ปั่น"  เจ้าของหุ้นตอบตกลง 

                สิ่งที่ Livermore จะต้องทำก็คือ  เขาจะต้องทำตลาดให้หุ้นมีการซื้อขายคล่องและมีราคาที่สูงกว่า 70 เหรียญเพื่อที่เขาจะได้ใช้สิทธิ์ซื้อหุ้น 100,000 และขายทำกำไรในตลาดได้  เขาต้องตรวจสอบดูว่าจะมีหุ้นออกมาขายมากน้อยเท่าไรจากโบรกเกอร์ซึ่งในสมัยนั้นเป็นคนที่จะรู้ออเดอร์ที่อยู่ในมือ  เมื่อเขาพบว่ามีไม่มาก  เขาก็กวาดซื้อไล่ราคาที่เริ่มจาก 70 เหรียญ  เขารู้ว่าการที่หุ้นวิ่งอย่างถูกต้องจะนำให้มีออเดอร์ซื้อหุ้นตามมา เช่นเดียวกับออเดอร์ขาย ที่จะเข้ามาเหมือนกัน 

                Livermore ไม่ได้ปล่อยข่าวอะไรเลยเกี่ยวกับหุ้น IS แต่เขารู้ว่าเขาจะต้องสร้างกระแสโดยวิธีการประชาสัมพันธ์ที่ดีที่สุดเพื่อ "โฆษณา" ราคาหุ้น  เขาคิดว่าข้อมูลที่เที่ยงตรงและน่าเชื่อถือจะต้องถูกเผยแพร่สู่สาธารณชน  แต่เขาไม่ต้องทำเอง  ราคาหุ้นที่วิ่งขึ้นไปจะทำหน้าที่นั้นเอง  นั่นคือ  เมื่อหุ้นวิ่ง  คนก็อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น  หนังสือพิมพ์ก็จะต้องวิ่งไปหาข้อมูลเพื่อจะอธิบายว่าทำไมหุ้นขึ้น  ดังนั้น  คนปั่นหุ้นจริง ๆ แล้วไม่ต้องพูดหรือทำอะไร  หนังสือพิมพ์จะเป็นคนเผยแพร่ข้อมูลทั้งหมด รวมทั้งข่าวลือต่าง ๆ  Livermore ไม่ต้องพูดเอง  แต่ถ้ามีใครมาถาม  เขาก็จะแสดงความเห็นสนับสนุน

                เมื่อหุ้น IS วิ่งขึ้นก็มีคนเริ่มซื้อตาม  Livermore จะขายหุ้นเพื่อดูแลให้ราคาวิ่งขึ้นอย่างมีจังหวะจะโคน  หลักการก็คือ  การดูความต้องการซื้อและขายให้สัมพันธ์กันตลอดเวลา เพื่อสร้างแนวโน้มให้เห็นว่าหุ้นกำลังเป็นกระทิง  เมื่อหุ้นขึ้นไปถึงจุดหนึ่งมันก็จะหยุดโดยเฉพาะเมื่อเขาหยุดซื้อและนี่ทำให้คนที่เข้ามาเล่นผิดหวังและเริ่มขายซึ่งทำให้ราคาเริ่มตกลง   เมื่อราคาตกลงถึงจุดหนึ่ง  เขาก็จะเริ่มเข้าไปไล่ซื้อใหม่เพื่อลากราคาขึ้นมาโดยการทำซ้ำแบบเดิมอีก  การทำราคาในรอบหลังนั้น  เขาจะลากราคาให้สูงกว่าการขึ้นในรอบก่อนหน้าเสมอ    การไล่ราคานั้นในบางครั้งเมื่อไม่มีออเดอร์ขายเหลือเขาก็จะ "กระชาก"  ราคาให้หุ้นวิ่งไปแรงมากเพื่อสร้างความตื่นเต้นให้กับหุ้น  ซึ่งเขาคิดว่านี่เป็นการประชาสัมพันธ์ที่ดีเยี่ยม

                ในการทำดังกล่าว  เขาได้สร้างตลาดให้กับหุ้น IS ทำให้หุ้นมีสภาพคล่องที่ทำให้คนมั่นใจที่จะเข้ามาเล่นเพราะหุ้นนั้นซื้อง่ายขายคล่อง  คนไม่กลัวว่าซื้อแล้วจะติดหุ้นขายไม่ได้  ถึงจุดนี้ ราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเป็น 100 เหรียญและคนก็เชื่อว่ามีแนวโน้มว่าจะขึ้นไปได้อีก 30% อย่างไม่ยากเย็น ก็ทำไมจะไม่ได้  "มันเป็นหุ้นดี" คนจำนวนมากคิดอย่างนั้น  และการที่จะขายหุ้นสัก 100,000 หุ้นก็ไม่น่าจะมีปัญหา  Livermore ทำสำเร็จ  อย่างไรก็ตาม  ถึงจุดนี้  หุ้นเริ่มติดตลาด  นักลงทุนสถาบันบางรายต้องการหุ้นล็อตใหญ่เพื่อการลงทุน  ดังนั้น  แทนที่จะขายในตลาด เขาก็ใช้สิทธ์ซื้อหุ้นราคาต่ำ  100,000 หุ้นและขายให้กับนักลงทุนสถาบันแทน  เขาทำกำไรมหาศาลโดยใช้เงินเข้าไปเสี่ยงปั่นหุ้นเพียงเล็กน้อย  นั่นคือ เขาซื้อหุ้นไปเพียง 7,000 หุ้นในราคาเฉลี่ย 85 เหรียญ 

                ทั้งหมดนั้นก็คือการปั่นหุ้นของเซียนคนหนึ่งในตลาดหุ้นอเมริกันเมื่อกว่า 80 ปีที่ผ่านมา  ตลาดหุ้นไทย ในวันนี้  เท่าที่ผมดู มีอะไรหลายอย่างใกล้เคียงกับตลาดอเมริกันในวันนั้น  และแม้ว่าในวันนี้ของเราจะมี กลต. และมีกฎหมายห้ามปั่นหุ้น  แต่ผมเชื่อว่ามีหุ้นหลายตัวที่อาจจะมีการปั่นในลักษณะคล้ายคลึงกันอยู่  การปั่น "หุ้นคุณค่า" อาจจะดูว่าไม่น่ากลัวมองจากสายตาคนทั่วไป  แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว  ความเสียหายก็อาจจะหนักไม่แพ้การปั่นหุ้นเน่า  เหตุผลก็คือ  คนมักจะไม่ตระหนักว่าหุ้นนั้นมีการปั่นและคนเข้าไปลงทุนอาจจะไม่ได้ระวัง  ในขณะที่หุ้นเน่านั้น  คนที่เข้าไปเล่นต่างก็ระวังตัวกันมาก

 

ที่มา Thaivi.com



ผู้ตั้งกระทู้ dr กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-01-27 09:53:07 IP : 125.25.140.44


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (713126)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-07-18 14:55:10 IP : 203.146.127.159


ความคิดเห็นที่ 2 (748580)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-08-24 17:15:45 IP : 203.146.127.179



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.