ReadyPlanet.com


ไม่ทราบว่าแต่ละท่าน เป็นอย่างไรบ้างครับ


user image

 รอบนี้หากท่านใด มีการลดพอร์ต และถือหุ้นน้อยตาม i-chart 30 ก็น่าจะที่ลดความเสี่ยงจากการที่หุ้นลงแรงในรอบนี้ได้ ซึงจะสังเกตว่า ในตาราง i-chart 30 ในวันจันทร์ที่ผ่านมาจากลิ้ง

http://www.investorchart.com/images/1165916233/i-chart30%20191206.pdf

มีการเกิดสัญญาณ ขาย จาก SETindex กว่า 3วันแล้วและหุ้นส่วนใหญ่มีการเกิดสัญญาณ Downtrend กว่า 4-5วันผ่านมา และบางครั้งเราจะวิเคราะห์การปรับตัวลง ได้จากสัญญาณเตือนทาง เทคนิคเสมอ เพราะเนื่องจาก มีคนที่รู้ข้อมูลในตลาดหุ้นก่อน ดังเช่น ในภาพจะเห็นว่า SET index ทำสัญญาณ Bearish Divergence จากสัญญาณ RSI ซึ่งมีส่วนยอดสามหัวที่ปรับตัวลดลง สวนทางกับราคาหุ้น ซึ่งผมได้เคยกล่าวไว้ในหลักสูตร i-Technical เช่นกัน

โดยประเด็นที่สำคัญ เกิดจากการอ่อนค่าของเงินบาทอย่างรุนแรง และมาตราการที่เข้มงวดจนเกินไปจากธนาคารแห่งประเทศไทย จึงทำให้นักลงทุนต่างชาติ เทขายหุ้นขนาดใหญ่ เพื่อทำกำไรจากค่าเงินที่เปลี่ยนทิศ พร้อมย้ายเงินลงทุนออก เพื่อไปลงทุนกับประเทศอื่น ที่ไม่ต้องเสียภาษีแบบไทย จึงจะสังเกตได้ว่า แรงขายจึงมีมากในหุ้นขนาดใหญ่ทั้งนั้นเช่น SCB,KBANK, BBL, KTB, PTT,PTTEP, LH, SCC เป็นต้น รวมความทำให้ดัชนี ปรับลงมากกว่า 100จุด และ เกิด Circuit break หรือการหยุดการซื้อขายชั่วคราวเนื่องจาก SET ปรับลงกว่า -10% และจุดสังเกตุ คุณจะเห็นว่า หุ้น Foreign มีราคาเท่ากับหรือใกล้เคียงกับหุ้นกระดานธรรมดา มากจนเห็นได้ชัด ตัวอย่างเช่น KBANK,KBANK-F, BBL-F, SCC-F, LH-F


ผู้ตั้งกระทู้ dr กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2006-12-19 17:19:18 IP : 61.47.100.248


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (468334)
image

 จะเห็นว่าค่าเงินบาทที่ปรับตัวอ่อนขึ้นมา ได้มีสัญญาณเตือนขึ้นมาก่อนว่ามีโอกาสที่ค่าเงินจะกลับทิศได้จากการทีสัญญาณ RSI และ ค่าเงินเคลื่อนที่สวนทางกัน เกิดภาพ Bullish Divergence และระดับ RSI ที่ต่ำมาก กว่าค่า20 มีโอกาสที่จะดีดกลับเสมอ
ผู้แสดงความคิดเห็น dr ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-19 17:23:16 IP : 61.47.100.248


ความคิดเห็นที่ 2 (468337)
image

 ส่วนค่าเงินบาทที่มีการอ่อนค่าจากการเพิ่มมาตราการทางภาษีที่ทาง ธนาคารแห่งประเทศได้ประกาศตอนช่วง4โมงเย็นวันจันทร์ที่ 18.. นั้น ได้ส่งผลให้ค่าเงินบาทดีดกลับแรงกว่า 1บาท จากจุดต่ำสุดในวัน 35.06และสูงสุดที่ 39.57บาทต่อดอลลาร์ แต่เมื่อคุณดูจากกราฟจะเห็นว่า มีการดีดกลับของค่าเงินตั้งแต่ 10โมงเช้าของ วันที่ 18.. แล้ว นั้นหมายความว่า

คุณสามารถสังเกต การเปลี่ยนแปลงได้ก่อนจากสัญญาณเทคนิค อนึ่ง แสดงว่ามีผู้รู้ข้อมูลก่อนจึงทำให้มีผลต่อค่าเงินบาท ตอนนั้น

ผู้แสดงความคิดเห็น dr ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-19 17:26:35 IP : 61.47.100.248


ความคิดเห็นที่ 3 (468525)

 

  สวัสดีครับ อาจารย์หมอ

  ผมโชคดีที่ไปอบรมกับ อ.

  เลยล้างพอร์ตก่อนไปอบรม

  กลับมาวันจันทร์ก็เหนื่อยเลยนอน

  ทั้งวัน ไม่ได้ดูหุ้น

  แต่โชคร้ายที่วันนี้ไม่รู้จักใช้กลยุทธ์

  ที่เรียนมาใช้กับหุ้นที่เด้งระหว่างวัน

  นั่งจ้อง BAY-W1 ตอน 4.8 กว่าตั้ง

  สรุปว่าไม่กล้า แถมตอนสองทุ่มมีข่าว

  ผ่อนปรนมาตรการ

  เสียดายจัง 

ผู้แสดงความคิดเห็น pat ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-19 22:18:08 IP : 222.123.10.29


ความคิดเห็นที่ 4 (468633)

ใครที่ได้รับความเสียหายจากนโยบายที่ผิดพลาดฃองธปท. ควรจะไปฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายในคดีแพ่ง เพราะหลักฐานชัดเจน รีบไปฟ้องศาลก่อนที่คดีจะขาดอายุความ รัฐบาลชุดนี้ทำให้เกิดความเสียหายหลายๆเรื่องทั้งหวยบนดิน ห้ามโฆษณาเหล้า และมาเรืองหุ้นอีกวันเดียวเสียหาย5แสนล้านบาท ผู้ว่าธปท.ผมว่าความรู้ความสามารถไม่ถึงก่อนจะทำอะไรต้องแยกแยะสาเหตุ ผลกระทบระยะสั้น,กลาง,ยาว แล้วชั่งนำหนักดูก่อนผมว่างานนี้ไม่ธรรมดาอาจจะมีผู้ได้ประโยชน์จากนโยบายแบบนี้ก็ได้ คือรัฐบาลนี้มองอะไรเป็นอบายมุขไปหมด หลักการบริหารประเทศคือการแบ่งเค็กก้อนโตให้ทุกๆฝ่ายได้ประโยชน์และเกิดความเป็นธรรม ผมว่าใครที่มือไม่ถึงรีบหากุนซือดีกว่าก่อนที่ประเทศชาติจะหายนะมากกว่านี้

ผู้แสดงความคิดเห็น Likhit ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-20 02:32:09 IP : 210.203.178.140


ความคิดเห็นที่ 5 (468733)

ขอโทษครับแก้ไข ความเห็นที่ 2 เรื่องค่าเงินบาทวันที่ 18ธ.ค.

จากจุดต่ำสุดในวัน 35.06และสูงสุดที่ 39.57 เป็น 35.97

ผู้แสดงความคิดเห็น dr ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-20 09:13:56 IP : 221.128.103.10


ความคิดเห็นที่ 6 (468736)
หนีตายแผนสกัดเก็งกำไรบาทฝรั่งฮือทิ้งหุ้นช็อกทั้งตลาดร่วงเป็นประวัติการณ์หม่อมอุ๋ยยอมผ่อนกฏ

มาตรการแบงก์ชาติป่วนตลาดหุ้น ต่างชาติเทกระจาดดัชนีรูด 108 จุด มูลค่าตลาดหาย 8 แสนล้าน ด้านตลาดหุ้น-ก.ล.ต.วอนทบทวน "หม่อมอุ๋ย" ยันจำเป็นต้องทำ

 รับผลกระทบรุนแรงเกินคาด ยอมผ่อนคลายให้เงินลงทุนตรงและลงทุนในหุ้นไม่ต้องสำรอง 30% ด้านโบรกเกอร์ชี้มาตรการแรงเกินไป ปรับมุมมองเป็นลบต่อหุ้นไทย

 มาตรการสกัดเก็งกำไรเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ที่กำหนดให้สถาบันการเงินที่รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ ต้องกันเงินสำรองเป็นเงินตราต่างประเทศไว้จำนวนร้อยละ 30 ของเงินตราต่างประเทศดังกล่าว ส่วนที่เหลือร้อยละ 70 ให้รับซื้อหรือแลกเปลี่ยนเป็นเงินบาทให้แก่ลูกค้า ได้ส่งผลกระทบต่อการซื้อขายหุ้นไทยเมื่อวันที่ 19 ธันวาคม อย่างหนัก

 ดัชนีตลาดหุ้นไทยได้ปรับลดลงทันทีที่ตลาดเปิดซื้อขาย จากนั้นมีแรงเทขายจากนักลงทุนต่างชาติอย่างต่อเนื่อง จนเมื่อเวลา 11.29 น.ดัชนีปรับลดลงเกินกว่า 10% ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องหยุดซื้อขายชั่วคราวเป็นเวลา 30 นาที ตามระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์ และเปิดทำการซื้อขายรอบใหม่อีกครั้งเวลา 11.59 น.แต่ก็ยังมีแรงเทขายออกมาไม่หยุด ซึ่งในช่วงบ่ายดัชนีหุ้นไทยไหลรูดลงไปต่ำสุดที่ระดับ 587.92 จุด ลดลงถึง 142.63 จุด คิดเป็น 19.52% เกือบจะต้องหยุดการซื้อขายตามระบบเซอร์กิตเบรกเกอร์เป็นครั้งที่สอง

 อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นได้เริ่มมีแรงช้อนซื้อกลับเข้ามา ผลักดันดัชนีปรับขึ้นมาปิดตลาดที่ระดับ 622.14 จุด ลดลง 108.411 จุด คิดเป็น 14.84% มูลค่าการซื้อขายรวม 72,131.55 ล้านบาท โดยเมื่อจำแนกการซื้อขายรายกลุ่มพบว่า นักลงทุนต่างชาติมียอดขายสุทธิ 25,121.58 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันขายสุทธิ 2,895.52 ล้านบาท และนักลงทุนทั่วไปมียอดซื้อสุทธิ 28,017.10 ล้านบาท ขณะที่มูลค่าตามราคาตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) อยู่ที่ 4.63 ล้านล้านบาท ลดลงไปถึง 8.2 แสนล้านบาท เมื่อเทียบกับเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม ซึ่งมาร์เก็ตแคปอยู่ที่ 5.45 ล้านล้านบาท

ตลท.-ก.ล.ต.ร้องทบทวน

 นายมนตรี ศรไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ กิมเอ็ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงรุนแรงมากเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากนักลงทุนตื่นตระหนกมาตรการของ ธปท. ซึ่งหวังว่าภาครัฐจะทบทวนมาตรการที่ออกมา และควรจะมีมาตรการอื่นรองรับไม่ให้ตลาดหุ้นกระทบมากกว่านี้ อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้ถือว่าเป็นจังหวะดีที่นักลงทุนระยะยาวจะเข้ามาซื้อหุ้น แต่ต้องดูจังหวะให้ดีว่าแรงเทขายที่เกิดขึ้นนิ่งหรือยัง

 "เข้าใจว่ามาตรการที่ออกมาเพื่อช่วยเหลือเศรษฐกิจและการส่งออก แต่ก็ควรคำนึงถึงนักลงทุนในตลาดหุ้นด้วย ซึ่งคงต้องรอดูผลกระทบจากแรงเทขายของนักลงทุนต่างชาติที่มีโอกาสจะเกิดขึ้นก็ได้ โดยในช่วงบ่ายจะเห็นผลกระทบชัดเจน เพราะตลาดต่างประเทศมีการเปิดทำการซื้อขาย" นายมนตรี กล่าว

 ด้านนางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ได้ส่งข้อมูลการซื้อขายหุ้นให้ ธปท.แล้ว และได้ขอให้ ธปท.ทำการทบทวนมาตรการดังกล่าว เนื่องจากมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นโดยตรง และมีการแยกแยะเม็ดเงินลงทุนด้วยว่า เม็ดเงินใดเป็นการเข้ามาเก็งกำไร หรือเป็นการลงทุนโดยตรง

 นายธีระชัย ภูวนาถนรานุบาล เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กล่าวว่า หากมาตรการที่ใช้สามารถแยกแยะให้มีผลควบคุมเฉพาะผู้ที่นำเงินเข้ามาเก็งกำไร โดยกันไม่ให้มีผลกระทบผู้ที่นำเงินมาลงทุนในหุ้นได้ก็จะดีกว่า เพราะผู้ที่นำเงินจากต่างประเทศเข้ามาเพื่อต้องการเก็งกำไรค่าเงินเป็นหลักนั้น หากพักเงินดังกล่าวไว้ในตลาดหลักทรัพย์ ก็ย่อมจะมีความเสี่ยงจากราคาหุ้นผันผวนมากกว่าที่จะมีกำไรจากค่าเงิน ดังนั้น ก.ล.ต.จะลองศึกษาแนวทางที่จะสามารถยกเว้นเฉพาะตลาดหลักทรัพย์ เพื่อนำไปหารือกับ ธปท.ต่อไป

 "เมื่อปิดตลาดช่วงเช้า มูลค่าตลาดลดลงไปกว่า 5 แสนล้านบาท เท่าที่ผมได้พูดคุยกับนักลงทุนต่างประเทศได้ข้อมูลว่า บางรายนอกจากจะกังวลกับมาตรการของ ธปท.แล้ว ยังคาดว่าจะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาอีกในอนาคต จึงอยากขอให้นักลงทุนต่างประเทศชะลอการขาย เพื่อรับฟังข้อเท็จจริงจาก ธปท.ให้ชัดเจนเสียก่อน มิฉะนั้นอาจเป็นการเสียโอกาสการลงทุนได้" นายธีระชัย กล่าว

โบรกฯ นอกปรับมุมมองหุ้นไทย

 ด้านนายมาโคร์ สุจริตกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เจ พี มอร์แกน (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า บริษัทหลักทรัพย์ต่างชาติได้ปรับมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็นลบแล้ว หลังจาก ธปท.ประกาศใช้มาตรการดังกล่าว เนื่องจากไม่มั่นใจว่าจะมีมาตรการอื่นๆ ออกสกัดการเก็งกำไรเงินบาทอีกหรือไม่ จึงแนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยไว้ก่อน ซึ่งผลกระทบเห็นได้ชัดเจนจากการเทขายหุ้นอย่างหนัก เมื่อวันที่ 19 ธันวาคม ที่ผ่านมา

 "นักลงทุนต่างชาติต้องการลงทุนในตลาดหุ้นที่ปล่อยให้อัตราแลกเปลี่ยนเคลื่อนไหวตามกลไกตลาด ไม่มีการควบคุม ซึ่งมาตรการของ ธปท.ถือว่ารุนแรงเกินไป และเกรงว่าตลาดหุ้นไทยจะเจอสถานการณ์ที่คล้ายคลึงกับตลาดหุ้นมาเลเซียเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยเมื่อรัฐบาลประกาศใช้มาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงิน ทำให้ตลาดหุ้นทรุดหนัก ต่างชาติไม่เข้าลงทุน กว่าจะฟื้นตัวได้ต้องใช้เวลา 10 ปี" นายมาร์โค กล่าว

"อุ๋ย"รับรุนแรงเกินคาด-ยอมผ่อนเกณฑ์

 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า การที่ตลาดหุ้นไทยลดลงอย่างหนัก จากมาตรการของ ธปท.ถือว่าเป็นไปตามที่คาด เพราะหากต้องการให้สกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ผล ก็ต้องยอมเสียด้านหนึ่ง อย่างไรก็ตาม จะมีการประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นกับทุกตลาดก่อนที่จะมีมาตรการใดๆ มาดูแล

 รายงานข่าวแจ้งว่า หลังตลาดหุ้นปิดการซื้อขาย ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ได้เรียกตัวแทน ธปท. ก.ล.ต. ตลาดหลักทรัพย์ และนายแบงก์ หารือที่กระทรวงการคลัง เพื่อร่วมกันประเมินผลกระทบ และหาทางออก เพื่อรับมือการซื้อขายหุ้นหลังจากตลาดหุ้นตกต่ำอย่างหนักเป็นประวัติการณ์ ซึ่งได้มาตรการผ่อนคลาย แก้ไขมาตรการของ ธปท. ให้เงินที่ไหลเข้าลงทุนโดยตรงและเงินที่เข้าลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ ไม่ต้องหักสำรองไว้ร้อยละ 30 ส่วนเงินที่เข้ามาเก็งกำไร โดยเฉพาะที่ลงทุนในตราสารหนี้ยังใช้มาตรการเช่นเดิม   

 "ผมก็คาดพอสมควรแล้วว่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้น เพียงแต่แรงกว่าที่คิดไว้ ซึ่งถ้าจะเอาบาทให้อยู่ได้ ก็ต้องยอมเสียด้านหนึ่ง อย่างที่ตอนไหลเข้าแรกๆ ก็ลงตลาดหุ้น แต่พอเดือนธันวาคม ชัดเจนว่าเงินไปกองตราสารหนี้ระยะสั้น เป็นเงินที่กะว่าจะเอาไปเก็งกำไรค่าเงินอย่างแท้จริง ถ้าปล่อยไปต่างชาติก็จะเอาเปรียบประเทศไทย ก็เลยต้องทำ เมื่อทำแล้วก็ต้องรอดูผล" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว

 อย่างไรก็ตาม เม็ดเงินที่นักลงทุนขายออกจากตลาดหุ้นในวันที่ 19 ธันวาคม ยังคงอยู่ในประเทศไทย โดยอยู่ในตลาดตราสารหนี้ ยังไม่ได้ขายออกไปเพื่อซื้อดอลลาร์ออกนอกประเทศ เม็ดเงินดังกล่าวมีมากถึง 1 แสนล้านบาท ถือเป็นกำลังสำคัญที่จะซื้อหุ้นต่อไป

 ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ย้ำว่า การออกมาตรการควบคุมการไหลเข้าของเงินทุนระยะสั้นจากต่างประเทศของ ธปท. เนื่องจากในช่วง 3 สัปดาห์ ที่ผ่านมา มีเงินลงทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาเพื่อเก็งกำไรลงทุนระยะสั้นในรูปตราสารหนี้ระยะสั้นถึง 1 แสนล้านบาท และไหลเข้ามาสูงสุดถึง 1,000 ล้านดอลลาร์ต่อสัปดาห์ เนื่องจากนักลงทุนเห็นว่าเศรษฐกิจไทยค่อนข้างดี และมีค่าพีอี/เรโชค่อนข้างต่ำ ซึ่งหากปล่อยไว้จะทำให้เกิดผลเสียต่อการลงทุนทั้งตลาดหุ้นและตราสารหนี้ และเมื่อออกมาตรการดังกล่าวแล้วเห็นว่าได้ผลชัดเจน สามารถทำให้ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนลง และจะทำให้การส่งออกสามารถเดินหน้าต่อไป แต่ยอมรับว่า การออกมาตรการของ ธปท.ครั้งแรกไม่สามารถหยุดยั้งการแข็งค่าของเงินบาท จึงออกมาตรการที่แรงขึ้น

 ด้านนายโฆสิต ปั้นเปี่ยมรัษฎ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า มาตรการที่ ธปท.ออกมานั้น เป็นมาตรการที่ดีที่จะสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาท และป้องกันไม่ให้ค่าเงินมีความผันผวนเกินไป ซึ่งจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยตรง ทั้งนี้ ยืนยันว่ารัฐบาลจะไม่เข้าไปแทรกแซงมาตรการดูแลค่าเงินของ ธปท. ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นนั้น มองว่าเป็นสถานการณ์ในระยะสั้นเท่านั้น

เลิกคุมเพดานเงินฝากต่างชาติ

 ขณะที่ น.ส.นิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท.กล่าวภายหลังการชี้แจงมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นของ ธปท.ให้ตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์และนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ว่า ธปท.จะเร่งหามาตรการเพื่อช่วยผ่อนคลายผลกระทบจากมาตรการ ธปท.ที่ออกไปต่อตลาดหุ้น โดย ธปท.อาจจะพิจารณาขยายวงเงินในบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นที่อยู่นอกประเทศ (นอนเรสซิเดนท์) จากที่กำหนดไว้วันละไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อราย ให้เพิ่มขึ้น หรืออาจจะหาที่พักเงินให้นักลงทุนต่างชาติเพิ่มเติมจากปัจจุบัน รวมทั้งหามาตรการที่จะช่วยลดอุปสรรคปัญหาในการดำเนินการของบริษัทหลักทรัพย์ด้วย แต่ ธปท.จะไม่ยกเลิกมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นที่ออกไปก่อนนี้

 "มาตรการดังกล่าวจะทำให้ต่างชาติชะลอการนำเงินออกนอกประเทศ เนื่องจากเกินนั้นหากมีการขายหุ้น หรือตราสารหนี้ สามารถนำเงินมาพักไว้ได้ไม่เกิน 300 ล้านบาทต่อวัน ซึ่งหากเกินจำนวนดังกล่าวจะถูกบีบให้โยกเงินออกนอกประเทศ แต่นับจากนี้ แบงก์ชาติไม่จำกัดวงเงินอีกแล้ว" น.ส.นิตยา กล่าว

 น.ส.นิตยา ยอมรับว่า ผลกระทบจากมาตรการสกัดเงินทุนไหลเข้าระยะสั้นของ ธปท.ต่อตลาดหุ้นมีมากกว่าคาดไว้ ซึ่งเข้าใจว่าส่วนหนึ่งอาจจะเป็นผลมาจากการที่การสื่อสารไม่ชัดเจน ทำให้เกิดความผันผวนขึ้นในตลาดหุ้น ธปท.จึงได้เชิญตัวแทนบริษัทหลักทรัพย์มาทำความเข้าใจให้ถูกต้องว่า การซื้อขายหุ้นยังคงทำได้ตามปกติ เพราะถ้าขายหุ้นก็สามารถนำเงินไปพักไว้ที่บัญชีนอนเรสซิเดนท์ หรืออาจจะโยกไปตลาดพันธบัตรได้ โดยเฉพาะกับผู้ที่นำเงินเข้ามาก่อนวันที่ 19 ธันวาคม ก็ไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการ ธปท.ดังกล่าว

 ผู้ช่วยผู้ว่าการ ธปท.กล่าวว่า หากทิศทางค่าเงินบาทไม่มีแนวโน้มที่จะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องเหมือนในช่วงที่ผ่านมา ธปท.ก็อาจจะเลิกใช้มาตรการดังกล่าว หรือหาก ธปท.พบมาตรการใหม่ที่มีผลกระทบน้อยกว่านี้ ก็อาจจะเปลี่ยนไปใช้มาตรการใหม่ได้ ทั้งนี้ ผลตอบรับของค่าเงินบาทจากมาตรการใหม่ก็ถือว่าได้ผลแรงอย่างที่คาดไว้ และตลาดเงินก็เข้าสู่จุดสมดุลและมีเสถียรภาพ ซึ่ง ธปท.ก็ไม่กังวลว่าค่าเงินบาทจะอ่อนค่ากลับไปมากถึง 15% เหมือนก่อนหน้าที่จะแข็งค่าขึ้น เนื่องจากพื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังดี ดุลบัญชีเดินสะพัดยังคงเป็นบวก

ข้อมูลจาก

http://www.komchadluek.com/2006/12/20/a001_75878_report.php

ผู้แสดงความคิดเห็น dr ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-20 09:20:48 IP : 221.128.103.10


ความคิดเห็นที่ 7 (468741)

หม่อมอุ๋ยผู้อยู่เบื้องหลังมาตรการอัปยศ "อายัดเงินนำเข้า 30%" ออกทีวีประกาศยกเลิกบังคับใช้มาตรการฯ กับตลาดหุ้น หลังดัชนีดิ่งเหว 142 จุดเมื่อวานนี้ อ้างได้หารือผู้ที่เกี่ยวข้องจนรับทราบปัญหา แต่ไม่ยอมรับเป็นนโยบายที่ผิดพลาด จึงไม่จำเป็นต้องมีคนรับผิดชอบ แค่แก้ไขผลข้างเคียงถือว่าจบ ย้อนรอยขุ้นคลังอวดดี ลั่นทั้งวันไม่ยกเลิกมาตรการฯ ก่อนกลับลำตอนท้าย ด้านแบงก์ชาติผ่อนเพดาบัญชี NRให้ทำได้ไม่จำกัด จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ที่ 300 ล้านบาท
       
       เมื่อวานนี้ (19 ธ.ค.) ภายหลังการออกกฎอายัดเงินนำเข้า 30% ของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีผลบังคับใช้ ทำให้ตลาดหุ้นเคลื่อนไหวจาก 730 จุดในช่วงเช้า ก่อนมาปิดตลาดที่ 622 จุด หรือลดลง 108 จุด ปรากฏว่า ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.คลังได้เรียกผู้บริหารที่เกี่ยวข้องกับมาตรการดังกล่าวมาประชุมที่กระทรวงการคลังในเวลา 18.00 น. ได้แก่ สมาคมธนาคารไทย โบรกเกอร์ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ภายหลังการหารือร่วม 2 ชั่วโมง ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้แถลงข่าวจากกระทรวงการคลังผ่านโมเดิร์นไนน์ทีวีว่า ขอยกเลิกการบังคับใช้มาตรการดังกล่าวกับเงินที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นตั้งแต่วันนี้ (20 ธ.ค.)
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธรอ้างเหตุผลของการยกเลิกว่า หลังการใช้มาตรการดังกล่าวมา 1 วัน มีผลข้างเคียง จึงจะยกเว้นให้ในส่วนของเงินที่จะมาลงทุนในตลาดหุ้นไม่เข้าข่ายมาตรการฯ แต่พบว่า เงินที่เข้ามาเก็งกำไร ไปเก็งตลาดหลักทรัพย์ฯไม่มาก แต่ไปเก็งตราสารหนี้มากขึ้น ทำให้เราต้องปิดประตูของตลาดตราสารหนี้ หุ้น***้ ช่องทางนี้เราต้องเก็บไว้เหมือนเดิม เพราะตลาดใหญ่ที่สุด ประมาณ 1,000 ล้านเหรียญสหรัฐ หากประตูตลาดตราสารหนี้ถูกปิด ก็เชื่อว่าจะทำให้เงินดอลล่าร์สหรัฐเข้ามาสู่ตลาดตราสารหนี้ลดลง และเงินบาทไม่ถูกเก็งกำไร ดังนั้นเงินที่จะเข้ามาและโอนเข้ามาตั้งแต่วันนี้ (20 ธ.ค.) เพื่อเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจะไม่มีการหักสำรอง 30% เพื่อให้นักลงทุนต่างประเทศสบายใจ และตลาดหุ้นจะมีแนวโน้มราคาหุ้นขึ้นได้ ตราบใดที่ต่างชาติมองว่าลงทุนในหุ้นได้เสรี นักลงทุนต่างชาติสบายใจ
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธรยอมรับว่า เพิ่งรู้ว่าเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาจำนวนมากในระยะนี้ ส่วนใหญ่ไปอยู่ที่ตลาดตราสารหนี้และพันธบัตรเป็นส่วนใหญ่ ไม่ใช่ตลาดหุ้น จึงถือเป็นบทเรียนที่ต้องพิจารณาให้รอบคอบมากขึ้น ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้น "ไม่เป็นไร" แค่ 1 วัน แก้ได้ ไม่เสียหายอะไร ภาพเศรษฐกิจยังดีอยู่ เชื่อว่าในเวลา 8.30 น.วันนี้ (20 ธ.ค.) เงินจะเข้าตลาดหุ้น
       
       "ต้องยอมรับว่ามาตรการนี้ใช้กับประเทศอื่นได้ผล แต่กับประเทศไทยไม่ได้ เพราะเรามาไกลกว่าคนอื่น เราเป็นประเทศเสรี หลังจากนี้ผมก็ต้องชี้แจงกับสื่ออื่นๆ ด้วย เช่นเดียวกับแบงก์ชาติก็ต้องชี้แจงด้วย"
       
       หลังจากนั้น ม.ร.ว.ปรีดิยาธรได้ตั้งโต๊ะแถลงข่าวอีกครั้งกับสื่อมวลชนที่ไปรอทำข่าวจำนวนมาก โดยระบุว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้ไม่ต้องหาคนรับผิดชอบ เพราะไม่ถือเป็นเป็นความผิดพลาดในนโยบายแต่อย่างใด
       
       ***แฉเสียงแข็งทั้งวันยันไม่ยกเลิก
       
       วานนี้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธรให้สัมภาษณ์ก่อนประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า มาตรการกันสำรอง 30% เป็นมาตรการที่ดี แม้ว่าจะทำให้การลงทุนในตลาดหุ้นชะงักงันบ้างเล็กน้อย แต่เราไม่ต้องการให้เงินทุนไหลเข้ามาประเทศไทยมากเกินไป อีกทั้งมาตรการดังกล่าวเป็นเรื่องที่นักลงทุนไทยยอมรับและมีความต้องการอยู่แล้ว
       
       "ส่วนตัวมองว่ามาตรการของธปท.ดีมาก เพราะเห็นได้ชัดเจนว่าเมื่อมีการประกาศใช้มาตรการนี้ออกมา ค่าเงินบาทก็อ่อนค่าลงทันที และคอยดูวันนี้ (19ธ.ค.) ได้เลยเชื่อว่าดีขึ้นแน่นอน และมั่นใจว่านักลงทุนในตลาดหุ้นไม่น่าชะงักการลงทุนนาน เนื่องจากเรามีเงินตราต่างประเทศที่อยู่ภายในประเทศในรูปของตั๋วสัญญาคอมเมอร์เชียล เปเปอร์อยู่ประมาณ 1 แสนล้านบาท ซึ่งเมื่อดัชนีตลาดหุ้นปรับตัวลดลงแล้วก็คาดว่านักลงทุนต่างชาติจะนำเงินที่เหลือขยับไปซื้อหุ้นในตลาดหุ้นเอง" ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
       
       ต่อมาเวลา 14.45 น.หลังประชุม ครม. พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี แถลงกรณีดังกล่าวว่า ให้ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.คลัง เป็นผู้ชี้แจง เพราะเป็นเรื่องที่ ธปท.ได้ดำเนินการ และทางรัฐบาลได้เตรียมการที่จะหาทางแก้ไขอยู่แล้ว
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธรจึงให้สัมภาษณ์อีกครั้งว่า มาตรการรักษาค่าเงินบาท เป็นมาตรการของ ธปท. เป็นไปตามที่ภาคธุรกิจร้องขอ สืบเนื่องจากชัดเจนว่า มีเงินไหลเข้าจากต่างชาติมาในประเทศไทยมากเป็นเพราะ พื้นฐานเศรษฐกิจเราค่อนข้างดี ไม่นับการเมือง ราคาต่ออัตราทำกำไรค่อนข้างต่ำ ฉะนั้นโอกาสทำกำไรมากขึ้น ตอนแรกไม่รู้สึกอะไร แต่ช่วง 3 สัปดาห์หลังเห็นชัดเจนว่าเงินที่เข้ามา ซึ่งเดิมไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์และตลาดตราสารหนี้ ตอนหลังเงินที่เข้ามาไปจมอยู่ในตลาดตราสานหนี้ระยะสั้นๆ ไม่ได้ไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์สูงถึงแสนกว่าล้านบาท เห็นชัดว่า เงินที่เข้ามาเพื่อเก็งกำไรค่าเงินบาทโดยแท้จริง อัตราการเข้าในสัปดาห์สุดท้ายสูงมากถึง 1 พันล้านเหรียญต่อสัปดาห์
       
       “ด้วยเหตุนี้ถ้าเราปล่อยไว้ต่างชาติจะเข้ามาทำกำไรทั้ง 2 ด่าน ทั้งตลาดหลักทรัพย์และค่าเงินบาทของเรา ผู้ที่เสียประโยชน์คือพวกเราทั้งนั้น ในที่สุดก็จากที่ภาคธุรกิจร้องมา ธปท.ได้ใช้มาตรการมาครั้งหนึ่งแล้ว เมื่อ 2 สัปดาห์ที่ผ่านมาคือมาตรการกันการเอาเงินไปลงทุนในสิ่งระยะสั้นไม่เกิน 6 เดือน แต่เมื่อใช้แล้วไม่ได้ผล เงินบาทยังแข็งต่อ จนครั้งสุดท้าย 35 .11 บาท จะทะลุ 35 ไป 34 บาทแล้ว ทาง ธปท.จึงไม่มีทางเลือกต้องออกมาตรการที่แรงขึ้น จากมาตรการดังกล่าวก็ได้ผลชะงักแน่นอนคือเงินบาทหยุดแข็ง เริ่มทยอยออกลง ซึ่งอันนี้เราต้องการรักษาภาคส่งออกไว้ให้ดีให้ได้ ส่วนผลที่มีในวันนี้เป็นผลที่คาดเดาไว้แล้ว อะไรก็ตามที่ไปหยุด หรือกันไม่ให้เงินดอลลาร์หรือเงินต่างชาติไหลเข้านั้น จะมีผลกระทบต่อตลาดหลักทรัพย์แน่นอน คาดเดาไว้แล้วว่า คงจะลงเยอะพอสมควร เพราะรัฐบาลนี้ไม่เข้าแทรกแซงแน่นอน ปล่อยให้ทุกอย่างปรับตัวตามธรรมชาติ เพราะอะไรที่ปรับตัวธรรมชาติจะปรับเร็ว และจะหยุดเร็ว”ม.ร.ว.ปรีดียาธร กล่าว
       
       รองนายกฯ กล่าวต่อว่า จะเห็นวันนี้ว่า ตอนที่ต่ำสุดลงไปถึง 100 พอยส์ ตอนนี้กระเด้งขึ้นมาแล้ว ผมว่าไม่น่าห่วง อะไรก็ตามที่ปรับตัวเร็วเดี๋ยวก็ขึ้นมาเอง และพื้นฐานของเศรษฐกิจค่อนข้างดี ขอให้ดูต่อไป มันจะมีขึ้นลงๆ อย่างนี้อีก 2-3 วันแล้วจะเข้ารูปเอง ไม่ได้มีปัญหาต่อคนอื่น เพียงแต่มีปัญหากับบริษัทที่เล่นหุ้นเท่านั้น และนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไร ซึ่งนโยบายที่ใช้คงไม่ทบทวน จะปล่อยให้เป็นตามธรรมชาติ พวกนี้ถ้าเข้าไปแทรกแซง ดึงเอาไว้ มันจะเป็นอย่างนี้ไป 10 วัน ปล่อยทีเดียวเลย เมื่อกระเด้งกลับเดี๋ยวก็ปรับตัวเอง ไม่ต้องห่วงหรอก พวกที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์เก่งทั้งนั้น บริษัทโปกเกอร์ บริษัทลงทุนเก่งทั้งนั้น พวกนี้กำไรมากกกว่าเราเยอะ เขาปรับตัวของเขาได้
       
       “ผมบอกแล้วผมไม่แทรกแซง และจะลงต่ำสุดมันก็เริ่มช้อนซื้อกันขึ้นมาแล้ว ไปดึงไว้จะนาน ปล่อยไปเลย จะขึ้นมาได้ไม่มีปัญหาหรอก ไม่มีปัญหาต่อการส่งออก และอื่นๆ เขาปรับเล่นกันเองระหว่างคนซื้อคนขายหุ้นไม่ต้องไปห่วงเขา คาดเดาว่าวันนี้จะลง 10 เปอร์เซ็นต์ มันจะเป็นมาตาการชะงักทำให้ต่างชาติกลัวไม่เอาเงินเข้า คนก็กลัวว่าจะไม่มีคนมาทำให้ตลาดหุ้นขึ้น ก็จะขายเอาตัวรอดไว้ก่อน พอตั้งตัวได้เขาก็ซื้อกันได้ อย่าไปตื่นเต้นคนรวยเขาเล่นกัน ตลาดหลักทรัพย์เมื่อขึ้นก็ต้องลง ไม่มีลงแล้วไม่ขึ้น” ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าว
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า เงินไหลออกไม่กลัว เพราะวันนี้อยากให้ออกบ้าง เพราะถ้าไม่ออกบาทจะแข็ง ประเด็นคือให้เขาตามตลอด ซื้อขายหุ้นแล้วไม่ได้เอาเงินบาที่ได้จากขายหุ้นมาซื้อดอลลาร์ส่งออก เปล่า เขาขายหุ้นแล้วเก็บไว้ในเมืองไทย เดี๋ยวเขาก็เล่นต่ออีก แปลกมากๆ ทีแรกนึกว่าขายแล้วไปซื้อดอลลาร์ส่งกลับ แสดงว่าขายแล้วเอาเงินไว้ในประเทศ เพราะถ้าเขาเอาออก เขากลับมาก็โดนมาตรการใหม่ เก็บไว้เดี๋ยวเขาเล่นต่อได้ ซึ่งพวกนี้เขาเข้าใจชัดเจนว่า เรากันเขาไม่ให้เอาเงินเข้าเกร็งกำไรกับค่าเงินบาท ชัดเจนเขาต้องสะดุดแน่ เราบอกชัดแล้วว่า เงินที่ไหลเข้ามาเมืองไทยมันมากเกินไป และมาบีบให้เงินบาท เราแข็งทำให้ผู้ส่งออกลำบาก เราต้องเลี้ยงเศรษฐกิจเราก่อน ตนไม่เลี้ยงนักลงทุนก่อนเลี้ยงเศรษฐกิจ มาตรการได้ผลทำไมไม่ชม
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า คนกลัวค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯจะออกไปกว่านี้อีกในโลก นักลงทุนในสหรัฐฯและนักลงทุนทั่วโลกก็ขายหุ้นที่สหรัฐฯ ขายตราสานหนี้ที่สหรัฐฯ เอาเงินดอลลาร์โอนมาเอเชียมาทั้งหมด ตั้งแต่เกาหลียังอินโดนีเซีย บังเอิญพื้นฐานเศรษฐกิจไทยค่อนข้างดีก็ไหลเข้าเยอะหน่อย ตอนแรกไม่รู้สึกอะไร แต่ 3 สัปดาห์ไปกองที่ตลาดตราสานหนี้ระยะสั้น คือรอเก็งกำไรอย่างนี้ไม่ไหว
       
       แค่นั้นไม่พอหลังกลับไปทำงานที่กระทรวงการคลังในเวลา 15.00 น. ม.ร.ว.ปรีดิยาธร ยังให้สัมภาษณ์อีกว่า แม้ว่าในวันนี้นักลงทุนจะเทขายหุ้นออกมามากจนทำให้ระบบการซื้อขายหลักทรัพย์ต้องหยุดการซื้อขายชั่วคราวแต่นักลงทุนยังมีความเชื่อมั่นทั้งในตลาดเงินตลาดทุนรวมทั้งค่าเงินบาท โดยปริมาณเงินที่ไหลออกจากการซื้อขายหุ้นในวันนี้กว่า 100,000 ล้านบาทยังคงอยู่ในประเทศไทยไม่มีการถ่ายโอนไปยังต่างประเทศ
       
       “เงินกว่าแสนล้านที่ซื้อขายในวันนี้ยังไม่ออกไปไหน เท่าที่ตรวจสอบยังไม่พบว่ามีการซื้อเงินดอลลาร์แล้วโอนเงินจำนวนนี้ไปยังต่างประเทศ แต่มีการพักไว้ทั้งในรูปเงินฝากในตราสารหนี้และตลาดพันธบัตร”
       
       ม.ร.ว.ปรีดิยาธร กล่าวว่า จะยังไม่ทบทวนมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทของธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) เพราะมีความเหมาะสมดีอยู่แล้ว เพราะในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่ามมาเม็ดเงินที่ไหลเข้ามาในประเทศนั้นเป็นการเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบามอย่างแท้จริง การที่ธปท.ออกมาตรการดังกล่าวออกมาสกัดการเก็งกำไรจึงมีเหตุผลที่สามารถยอมรับได้
       
       ซึ่งการที่ธปท.ออกมาตรการออกมานั้นต้องยอมรับว่าส่งผลกระทบต่อตลาดทุนอย่างแน่นอน ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งเพื่อรักษาเสถียรภาพระหว่างตลาดเงินและตลาดทุน ซึ่งการซื้อขายหุ้นในปริมาณที่สูงมากในวันนี้ต้องปล่อยให้มีการซื้อขายอย่างเต็มที่ไม่ต้องไปป้องกันแต่อย่างใด เพราะเมื่อซื้อขายกันเต็มที่โดยไม่ต้องไปปกป้องมากนักจะทำให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์กลับมาฟื้นตัวง่ายกว่าการออกมาตรการเพื่อป้องกันการซื้อขาย
       
       ***ธปท.ผ่อนเพดานบัญชี NR
       
       นางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการสายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวหลังจาก ธปท.ได้เชิญให้นักลงทุนสถาบันทั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน(บลจ.) บริษัทหลักทรัพย์(บล.) และบริษัทหรือหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เข้ามารับฟังการชี้แจงมาตรการฯ ช่วงบ่ายวานนี้ว่า ธปท.จะยกเลิกการจำกัดวงเงินฝากของผู้มีถิ่นฐานนอกประเทศ (NR : non-resident) ในบัญชีเงินบาท ให้ทำได้ไม่จำกัด จากเดิมที่กำหนดเพดานไว้ที่ 300 ล้านบาท
       
       “การประชุมในครั้งนี้โปรเกอร์ส่วนใหญ่ต่างก็บ่นกันมากพอสมควรว่าได้รับผลกระทบกับมาตรการ 30%และต่างพูดให้ฟังถึงผลกระทบและปัญหาที่เกิดขึ้นว่ามีอะไรบ้าง ซึ่งเราก็ยืนยันว่าต้องดำเนินมาตรการดังกล่าวต่อไป หากใช้มาตรการอื่น เช่น ลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อจะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทแข็งค่าได้น้อย โดยหากลดอัตราดอกเบี้ยไป 25 สตางค์ก็จะช่วยลดแรงกดดันค่าเงินบาทให้แข็งค่าขึ้นได้เพียง 10% เท่านั้น ”
       
       นางอัจนา ไวความดี รองผู้ว่าการ ด้านเสถียรภาพการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ยอมรับว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ที่ปรับลดลงเมื่อวานนี้กว่า 100 จุด ถือว่าเป็นการปรับลดลงแรงกว่าที่คาดไว้ หลังจากที่ธปท.ออกมาตรการใหม่ อย่างไรก็ตามโอกาสนี้น่าจะถือเป็นจังหวะที่นักลงทุนเข้ามาช้อนซื้อหุ้นได้ และ ธปท.จะยังไม่ทบทวนมาตรการที่เพิ่งออกไปแม้ว่าตลาดหุ้นจะปรับลดลงก็ตาม เนื่องจากมาตรการดังกล่าวเพิ่งจะมีผลบังคับใช้ได้ในช่วงสั้นๆ เท่านั้น
       
       ทั้งนี้ ในส่วนของเงินลงทุนในตลาดหุ้นที่เทขายออกไป ยังไม่เห็นว่ามีการแลกเงินนำออกไปนอกประเทศ ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าเป็นแค่อาการตื่นตระหนกระยะสั้นๆ แล้วก็อาจจะกลับมาลงทุนในตลาดหุ้นใหม่ก็ได้ ซึ่งมาตรการสกัดเก็งกำไรไม่สามารถแยกออกมาตรการสกัดเงินทุนในแต่ละส่วนของเงินทุนที่ไหลเข้ามาได้ ซึ่งก็รอพิจารณาอยู่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร นักลงทุนก็สามารถพักเงินไว้ที่บัญชีนอนเรสซิเด้นท์ไม่จำเป็นต้องนำเงิน ออกไปทันทีก็ได้
       
       นางอัจนา กล่าวว่า ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมาของปีนี้ มีเงินทุนจากต่างชาติไหลเข้ามาลงทุนในประเทศไทยสุทธิ 1.3 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ โดยแบ่งเป็นเงินที่เข้าไปลงทุนในตลาดหลักทรัพย์จำนวน 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ(เอฟดีไอ) 3,000 ล้านเหรียญ และเงินที่ลงทุนในตลาดพันธบัตรอีก 500 ล้านเหรียญ ส่วนที่เหลือเป็นเงินที่เข้าไปลงทุนในตลาดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นตั๋วเงินระยะสั้น(บี/อี)หรือหุ้น***้ระยะสั้น เป็นต้น
       
       สำหรับสาเหตุที่นักลงทุนต่างชาติหันมาเก็งกำไรค่าบาทมากขึ้น เนื่องจาก ค่าบาทในขณะนี้ยังมีส่วนต่างเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติเศรษฐกิจปี 40 อยู่ที่ประมาณ 30-40% ซึ่งถือว่ายังมีส่วนต่างที่จะเข้ามาเก็งกำไรค่าเงินบาทได้ ขณะที่ประเทศเกาหลีใต้และประเทศสิงคโปร์นักลงทุนได้มีการเข้าไปเก็งกำไรค่าเงินแล้ว ซึ่งทั้งสองประเทศส่วนต่างค่าเงินเมื่อเทียบกับช่วงวิกฤติแค่ 10% เท่านั้น
       
       ด้านนางสาวนิตยา พิบูลย์รัตนกิจ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายตลาดการเงิน ธปท. กล่าวว่า เมื่อวานนี้ในช่วงเช้า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯจะปรับลดลงอย่างรุนแรงจนกระทั่งตลาดสั่งให้หยุดพักการซื้อขายเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ซึ่งสาเหตุที่ตลาดปรับลดลงแรงเนื่องจากช็อกกับมาตรการสกัดการเก็งกำไรค่าเงินบาทที่ธปท.ประกาศไปเมื่อวานนี้ อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าขณะนี้ธปท.จะยังไม่ทบทวนมาตรการที่เพิ่งออกไปเพราะถือว่ายังเร็วเกินไปที่จะพูดในตอนนี้
       
       “เท่าที่ดูผลของตลาดเงินค่อนข้างพอใจ มีการปรับตัวค่อนข้างสมดุลดี ทั้งผู้ส่งออกและนำเข้า มีการซื้อขายทั้ง 2 ข้าง โดยค่าเงินบาทเริ่มเคลื่อนไหวอ่อนค่าลงอยู่ระหว่าง 35.64-35.67 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ตลาดหุ้นมีปัญหานักลงทุนตื่นตระหนกกว่าที่คาดไว้ ซึ่งแบงก์ชาติจะชี้แจงว่าในส่วนของนักลงทุนต่างชาติเดิมที่มีการนำเงินเข้ามาก่อนวันที่ 19 ธ.ค. จะไม่ได้รับผลกระทบจากมาตรการที่เราออกไป ดังนั้น นักลงทุนไม่จำเป็นต้องตื่นตระหนกมากเกินไป”
       
       ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า หลังจากที่ธปท.ได้หารือร่วมกับบริษัทที่เกี่ยวข้องทั้งบริษัทหลักทรัพย์ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ซึ่งส่วนใหญ่ต่างแสดงความคิดเห็นไม่พอใจกับมาตรการดังกล่าวของธปท.ที่ออกมา ถือว่ามาตรการที่แรงมากเกินไปและมองว่าธปท.มุ่งเน้นดูแลเฉพาะเรื่องเศรษฐกิจมากจนเกินไป โดยไม่ได้คำนึงถึงผลกระทบต่อนักลงทุนต่างชาติใหม่ๆ ที่จะเข้ามาพัฒนาประเทศไทย ขณะเดียวกันดัชนีตลาดหลักทรัพย์ในช่วงบ่ายก็ปรับตัวลดลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ที่เข้าร่วมประชุมต่างเห็นว่าต่างชาติสามารถโยกเงินไปตลาดอื่นได้ ก็ยิ่งสร้างผลกระทบต่อประเทศมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน
       
       นอกจากนี้ ธปท.ได้เปิดสายด่วน(ฮอตไลน์) เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนสามารถซักถามเกี่ยวกับมาตรการสกัดกั้นเงินทุนนำเข้าระยะสั้น เพื่อป้องกันการเก็งกำไรค่าเงินบาท ที่เบอร์โทร 0-2356-7345-47 และที่เบอร์โทร 0-2356-8630-33
       
       ***เอกชนชี้ ธปท.ผ่อนกฎไม่เห็นผล
       
       นายอัทธ์ พิศาลวานิช ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กล่าวว่า หลังจาก ธปท.ออกกฎผ่อนคลายเพดานวงเงินในบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศโดยไม่มีข้อจำกัดจากเดิมที่กำหนดให้มียอดคงค้างของเงินฝากในแต่ละวันได้ไม่เกิน 300 ล้านบาท ว่าจะสามารถช่วยผ่อนมาตรการการตั้งสำรอง 30%ได้มากน้อยเพียงใดนั้นคงต้องรอดูผลต่อไปประมาณ 5 วันเนื่องจากมาตรการการตั้งสำรอง 30%ที่ประกาศออกมาใช้ถือว่าเป็นมาตการที่ค่อนข้างรุนแรง โดยส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ลดลงเป็นร้อยจุด
       
       "มาตรการการตั้งสำรอง 30%นับว่าเป็นมาตรการที่ค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นการที่ธปท.ผ่อนคลายกฎเพดานวงเงินในบัญชีเงินบาทของผู้มีถิ่นฐานในต่างประเทศนั้นถือเป็นมาตการเสริม แต่จะสามารถช่วยผ่อนคลายความตึงเครียดให้กับนักลงทุนได้มากน้อยแค่ไหนคงต้องจับตาดูอีก 2-3 วันจึงน่าจะเริ่มเห็นผล" นายอัทธ์ กล่าว
       
       สำหรับข้อดีข้อเสียหลังจากธปท.ออกมาตรการดังกล่าวมา ถือว่า ณ ปัจจุบัน ธปท.ได้เข้ามาสกัดกั้นการเก็งกำไรค่าเงินบาทอย่างจริงจังแล้ว หลังจากที่เคยเจรจากันมานานเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว แต่ก็ยังไม่มีการเอาจริงเอาจัง ส่วนมาตราการตั้งสำรอง 30%จะส่งผลต่อการเก็งกำไรค่าเงินบาทมากน้อยในระดับใดนั้นเชื่อว่าน่าจะสามารถช่วยสกัดกั้นให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมานิดหน่อยจะมากน้อยแค่ไหนคงต้องรอดูอีกสักพัก
       
       "เชื่อว่าการที่ธปท.ออกมาตรการนี้มาถือว่าเดินมาถูกทางแล้ว และเชื่อว่ามาตรการนี้จะช่วยทำให้ค่าเงินบาทปรับตัวอ่อนค่าลงมาได้ โดยทั้งปีเชื่อว่าค่าเงินบาทจะแตะที่ระดับ 38 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และในไตรมาส1และ2ปีหน้าเชื่อว่าค่าเงินบาทจะยังทรงๆ ตัวแตะที่ระดับ 35-36 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ จากการออกมาตรการสกัดกั้น โดยมองว่าสักระยะหนึ่งตลาดทุนน่าจะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติได้"นายอัทธ์ กล่าว
       
       ขณะที่นายบันลือศักดิ์ ปุสสะรังษี ผู้อำนวยการศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจมหภาค ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงมาตรการการยกเลิกการจำกัดยอดคงค้างของเงินฝากในบัญชีนอน-เรสสิเดนส์ว่า คงจะไม่ช่วยผ่อนคลายมาตรการที่ธปท.ออกมาก่อนหน้านี้มากนัก น่าจะเป็นการรองรับเงินทุนไม่ให้ไหลออกมากเกินไปหลังจากมีการเทขายหุ้นวานนี้ แต่การที่นักลงทุนจะไปลงทุนในตลาดอื่นๆอย่างตลาดตราสารหนี้ต่อนั้น คงยากเนื่องจากดอกเบี้ยยังต่ำเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ
       
       สำหรับมาตรการที่ธปท.ประกาศออกมา มีผลกระทบที่แรงต่อตลาดหุ้น ทั้งๆที่เป็นเงินที่ไม่ใช่เงินที่ธปท.ให้กันสำรอง เนื่องจากต่างชาติเห็นว่ามาตรการของธปท.ที่ออกมานั้น จะทำให้มีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศไม่มาก ดัชนีตลาดฯคงจะไปไม่ไกล ก็เลยมีการขายทิ้งหุ้นออกมา

จาก ผู้จัดการออนไลน์

ผู้แสดงความคิดเห็น dr ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-20 09:25:00 IP : 221.128.103.10


ความคิดเห็นที่ 8 (468853)

อยากให้ลองฟังคุยคุ้ย ข่าว เมื่อคืนวันอังคารที่ 19 ธ.ค. เรื่องมาตรการสกัดเก็งกำไรค่าเงินบาท  เนื้อหเาดีมากครับ อยากให้ฟังและลองวิเคราะห์ตาม

จากลิ้ง http://hiptv.mcot.net/

ผู้แสดงความคิดเห็น dr ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-20 12:15:45 IP : 221.128.103.10


ความคิดเห็นที่ 9 (469238)

ไปฟังถีงลูกถึงคนที่อาจารย์บอกแล้ว ดีมากเลยค่ะ BTW, ถ้าคิดจะชื้อ SCBSET น่าจะยังพอมี upside gain มั้ยค่ะ

ผู้แสดงความคิดเห็น Nok ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-20 20:15:48 IP : 58.64.102.34


ความคิดเห็นที่ 10 (469489)

วันนี้จะแสดงความคิดเห็นต่อนะครับ หม่อมอุ๋ยออกมาพูดว่าผ่อนปรนนโยบายให้แล้วที่เสียไปก็ได้กลับมาแล้วบางส่วนเพราะวันนี้หุ้นขึ้นมา 60กว่าจุดเดี๋ยวก็จะค่อยๆขี้มมาได้กำไรด้วยซำไม่ต้องเป็นห่วงหรอกคนพวกนี้เขาเก่งกว่าพวกนักข่าวแยะผมว่ายี่งพูดยี่งแสดงความโง่ออกมา คนที่เสียกับคนที่ได้มันคนละคนกัน คนที่ได้ผมว่าเป็นพวกinsider มากกว่า ผมคิดว่าคตส.ต้องตรวจสอบว่าคนที่ซื้อ big lotช่วง1ชั่วโมงก่อนตลาดปิดน่าสงสัยที่สุด ซื่งทำไมยากเพราะเวลาซื้อขายห้นผ่านโบรกเกอร์จะมีการบันทึกเทปสนทนาระหว่างผู้ซื้อกับbrokerอยู่แล้วทุกครั้งและฃอให้บลจ.print repor วันที่19ออกมา แล้วให้ตำรวจเศรษฐกิจ dsi หรือปปช หรือตั้งคณะกรรมการก็ได้ ถ้าไม่มีมันสมองพอบอกมาผมพร้อมจะทำให้ดูเป็นตัวอย่างเพราะหลักฐานชัดเจน ผมเป็นห่วงประเทศไทยที่สุดถ้าคนรุ่นนี้ยังพูดแบบหม่อมอุ๋ย แล้วเด็กรุ่นหลังซึ่งผลประเมินออกมาว่า IQ ตำกว่ามาตรฐาน เมื่อขึ้นมาบริหารประเทศ ผมว่าประเทศไทยจะเหมือนมอญคือขณะนี้ไม่มีประเทศมอญแต่มีคนมอญเต็มไปหมด

ผู้แสดงความคิดเห็น Likhit ตอบโดยสมาชิกวันที่ตอบ 2006-12-21 01:18:53 IP : 210.203.177.61


ความคิดเห็นที่ 11 (713156)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-07-18 14:55:26 IP : 203.146.127.159


ความคิดเห็นที่ 12 (748602)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-08-24 17:17:03 IP : 203.146.127.179



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.