ReadyPlanet.com


สรุปผลแบบสอบถามนักวิเคราะห์ครั้งที่ 5/2550 (4 ธ.ค.50) ชี้ดัชนีหุ้นปลายปีถึง 885 จุด



พอดีผม ได้บทสรุปบทวิเคราะห์จากสมาคมนักวิเคราะห์ ออกมาชี้ว่าปลายปี นี้น่าจะเห็น 885จุด ซึ่งแม้สภาวะตลาดช่วงนี้ อาจจะดูอ่อนตัวจากความกังวลในกรณี ของหุ้น ปตท ซึ่งเหลือเวลาไม่กี่สัปดาห์ก็จบปี แล้ว จึงดูเหมือนว่าจะลุ้นค่อนข้างยาก สำหรับการปรับตัวเหนือ 885จุดอีกครั้ง ก่อนปีใหม่  แต่ เราก็สามารถอ่าน ถีงปัจจัยอื่น ที่เกี่ยวกับเศรษฐกิจและมุมมองของนักวิเคราะห์ในบทความนี้ได้ครับ

สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ชี้ดัชนีหุ้นปลายปีถึง 885 จุด

                 สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โดยนายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมฯ เผยผลสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์ล่าสุด เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 – ธันวาคม 2551  โดยนักวิเคราะห์ปรับเพิ่มตัวเลขคาดการณ์ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ ณ ปลายปี 2550 ไปที่เฉลี่ย 885 จุด จากระดับ 871 จุดซึ่งสำรวจไปเมื่อเดือนสิงหาคม และเพิ่มคาดการณ์ดัชนี ณ ปลายปี 2551 อยู่ที่เฉลี่ย 1,030 จุดจากเดิม 1,000 จุด   นอกจากนี้ ยังคาดการณ์ตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจปีหน้า 2551 โดยผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนปีหน้าจะมีกำไรสุทธิต่อหุ้นเติบโตเฉลี่ยสูงถึงร้อยละ 18.4 ในขณะที่ GDP Growth คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ยร้อยละ 4.9   กลุ่มธุรกิจที่แนะนำให้ลงทุนคือ กลุ่มธนาคารพาณิชย์ และพลังงาน

                สมาคมนักวิเคราะห์ฯ ได้สำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนในตลาดหุ้นในช่วงธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2551 ทั้งปัจจัยบวกและปัจจัยลบที่มีอิทธิพลต่อการลงทุนในตลาดหุ้น ความเชื่อมั่นด้านเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง ข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลใหม่ แนวโน้มอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจและผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน คาดการณ์อัตราการขยายตัวของกำไรต่อหุ้นของบริษัทในกลุ่มธุรกิจสำคัญ กลุ่มธุรกิจและหุ้นที่แนะนำให้ลงทุน และคำแนะนำให้นักลงทุน โดยมีสำนักวิจัยจากบริษัทหลักทรัพย์ทั้งไทยและบริษัทต่างชาติแสดงความเห็นรวม 20 แห่ง

ปัจจัยบวกที่สำคัญต่อการลงทุนในตลาดหุ้นช่วงธันวาคม 2550 - ธันวาคม 2551:

อันดับแรก  นักวิเคราะห์มีความเห็นตรงกันถึงร้อยละ 85 คือ ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งคาดว่าการเมืองจะมีเสถียรภาพมากขึ้นภายหลังการเลือกตั้งปลายปี และสามารถจัดตั้งรัฐบาลใหม่ได้เรียบร้อย

อันดับที่สอง  มีผู้ตอบร้อยละ 35  คือ ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน    ที่จะมีการขยายตัวดีในปี 51

อันดับที่สาม คือ กระแสเงินไหลเข้า โดยมีแนวโน้มที่เงินทุนจากต่างชาติจะไหลเข้าเอเชียอีก มีผู้ตอบร้อยละ 30 

ยังมีปัจจัยบวกอื่น ๆ ได้แก่ การบริโภคที่เพิ่มขึ้น  การเร่งใช้จ่ายของภาครัฐ   การที่ตลาดหุ้นไทยยังมีราคาถูกเมื่อเทียบกับภูมิภาค เป็นต้น

ปัจจัยลบที่สำคัญ :

อันดับแรก  ที่นักวิเคราะห์ร้อยละ 80 มองตรงกัน คือ ปัจจัยทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งอาจมีแนวโน้มชะลอตัว จากผลกระทบที่ได้รับจากปัญหาซับไพร์ม

อันดับสอง  คือ ราคาน้ำมัน ที่ยังอยู่ในระดับสูง  มีผู้ตอบร้อยละ 65

อันดับที่สาม มีผู้ตอบร้อยละ 35  คือ อัตราเงินเฟ้อ  ที่อาจเพิ่มสูงขึ้น

ปัจจัยลบอื่น ๆ ที่นักวิเคราะห์บางรายกล่าวถึง ได้แก่  ปัจจัยทางการเมือง ซึ่งอาจมีปัญหาวุ่นวายภายหลังการเลือกตั้ง  การเคลื่อนย้ายเงินทุนกลับของต่างชาติ ซึ่งจะส่งผลให้ตลาดหุ้นมีการปรับฐาน  ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและค่าเงินบาท  เป็นต้น

จากผลสำรวจความเชื่อมั่นของนักวิเคราะห์ในด้านเศรษฐกิจ และด้านสังคมและการเมืองสำหรับปี 2551 เทียบกับปี 2550 พบว่า นักวิเคราะห์ร้อยละ 65  เชื่อว่า เศรษฐกิจ ในปี 2551 จะดีขึ้นจากปี 2550 เล็กน้อย  โดยมีนักวิเคราะห์ร้อยละ 15 มีความเชื่อมั่นเท่าเดิม    สำหรับในด้านสังคมและการเมือง นักวิเคราะห์ร้อยละ 65 เชื่อมั่นจะดีขึ้นเล็กน้อย  และร้อยละ 25 มีความเชื่อมั่นเท่าเดิม

มาตรการสำคัญที่นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลชุดหน้าที่มาจากการเลือกตั้ง ดำเนินการเพื่อประโยชน์ของเศรษฐกิจและสังคมโดยรวม อันดับแรก คือ การผลักดันและเร่งรัดการลงทุนและใช้จ่ายภาครัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการขนาดใหญ่เกี่ยวกับโครงสร้างพื้นฐาน สาธารณูปโภคขนส่งมวลชนและโลจิสติกส์  มีผู้ตอบร้อยละ 65  อันดับที่สองคือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ  ที่จริงจังและต่อเนื่อง เพื่อสร้างความมั่นใจให้นักลงทุน โดยมีผู้ตอบร้อยละ 30   ด้านกฎหมายและมาตรการสำคัญ  เป็นอันดับที่สาม มีผู้ตอบร้อยละ 25 โดยนักวิเคราะห์เสนอให้เร่งสร้างความชัดเจน     และใช้ความรอบคอบในการพิจารณากฎหมายที่สำคัญ เช่น พรบ.ค้าปลีกค้าส่ง   พรบ.การประกอบธุรกิจของคนต่างด้าว   มาตรการกันสำรอง     30% เป็นต้น

นอกจากนี้ เพื่อเป็นการส่งเสริมและพัฒนาตลาดทุนให้เข้มแข็ง  นักวิเคราะห์เสนอแนะให้รัฐบาลชุดหน้าดำเนินการในสองด้านใหญ่ ๆ คือ เพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ และเพิ่มจำนวนนักลงทุน โดยมีผู้ตอบร้อยละ 47 และ 37 ตามลำดับ  ทั้งนี้ การเพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ รวมถึง การเพิ่มประเภทสินค้าให้หลากหลายมากขึ้น เช่น เพิ่มตราสารใหม่ ๆ เกี่ยวกับ futures, options เป็นต้น และเพิ่มจำนวนบริษัท   จดทะเบียน โดยให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับบริษัทจดทะเบียน  และอนุญาตให้มี dual listing   สำหรับการเพิ่มจำนวนนักลงทุน นั้น นักวิเคราะห์แนะนำให้ดำเนินการส่งเสริมความรู้เกี่ยวกับตลาดทุนให้ผู้มีเงินออมต่อไป เพื่อสร้างกลุ่มผู้ลงทุนใหม่ ๆ  รวมทั้งให้สิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมสำหรับการลงทุนระยะยาว เช่น เพิ่มสิทธิลดหย่อนภาษีสำหรับการลงทุนในกองทุน LTF และ RMF เป็นต้น

จากการสำรวจครั้งนี้  สมาคมนักวิเคราะห์ฯ พบว่า นักวิเคราะห์มีการปรับตัวเลขคาดการณ์ของดัชนีตลาดหลักทรัพย์ หรือ SET Index เพิ่มขึ้นจากการสำรวจเมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา โดย SET Index ณ สิ้นปี 2550 นักวิเคราะห์คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 885 จุด จากเดิมคาดไว้ 871 จุด และ SET Index ณ สิ้นปี 2551 คาดว่าจะอยู่ที่เฉลี่ย 1,030 จุด เพิ่มขึ้นจากที่คาดไว้เดิมที่ 1,000 จุด

ในครั้งนี้ สมาคมนักวิเคราะห์ฯ สำรวจตัวเลขสำคัญสำหรับทั้งปี 2551  คือ อัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจ หรือ GDP Growth ซึ่งตัวเลขคาดการณ์เฉลี่ยอยู่ที่ 4.9% ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน หรือ EPS Growth เฉลี่ยอยู่ที่ 18.4% 

สำหรับตัวเลขสำคัญ ณ สิ้นปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่า อัตราแลกเปลี่ยนระหว่างเงินบาทและดอลลาร์สรอ.  ณ สิ้นปีเฉลี่ยอยู่ที่ 32.9 บาท และอัตราดอกเบี้ย RP 1 วัน ในปลายปี 2551 นักวิเคราะห์คาดว่าเฉลี่ยจะอยู่ที่ 3.4% 

 ในส่วนของประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในปีหน้า 2551 ประเมินจากอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ของกลุ่มธุรกิจสำคัญ จากผลที่ได้จากแบบสอบถาม พบว่า กลุ่มธนาคารมีอัตราการเติบโตสูงสุด โดยมีค่าเฉลี่ย EPS Growth ที่ร้อยละ 126.4   อันดับสองคือ อสังหาริมทรัพย์ เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 16.6   อันดับต่อมาคือ กลุ่มปิโตรเคมี เติบโตเฉลี่ยที่ร้อยละ 13.8 

 

นักวิเคราะห์แนะนำกลุ่มธุรกิจที่น่าลงทุนต่อไป ในอันดับต้น ๆ  คือ ธนาคาร และพลังงาน  สำหรับกลุ่มอื่นที่แนะนำรองลงมาคือ  อสังหาริมทรัพย์รวมถึงวัสดุก่อสร้าง  ทั้งนี้ เชื่อว่ากลุ่มธนาคารจะมีผลประกอบการที่ดีขึ้น จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจซึ่งจะส่งผลให้สินเชื่อเติบโตขึ้น และจากการตั้งสำรองเรียบร้อยแล้วในไตรมาส 3 ปี 2550 ซึ่งจะช่วยให้กำไรมีการขยายตัว     พลังงาน จะได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมันที่ยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูง   สำหรับกลุ่ม อสังหาริมทรัพย์ ก็จะได้รับผลดีจากเศรษฐกิจที่ฟื้นตัว ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น และโครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ

หุ้นที่นักวิเคราะห์แนะนำให้ลงทุนตรงกันหลายสำนักวิจัย ได้แก่ BANPU, BAY, BBL, KBANK, PTT, PTTEP, SCB เป็นต้น (เรียงตามลำดับตัวอักษร)  นอกจากนี้ เคล็ดลับการลงทุนที่นักวิเคราะห์แนะนำคือ ให้ใช้ความระมัดระวัง และพิจารณาอย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจลงทุน เนื่องจากตลาดมีความผันผวนสูง โดยแนะนำให้ทยอยสะสมหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี โดยเลือกหุ้นที่ราคาปัจจุบันยังต่ำกว่าราคาพื้นฐานที่เหมาะสม และมีอัตราการขยายตัวของกำไรดี มีเงินปันผลสูง

แหล่งข้อมูล...สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ โทร. 02-229-2329, 02-229-2355-6 อีเมล์ jirawan@saa-thai.org



ผู้ตั้งกระทู้ dr_morky กระทู้ตั้งโดยเว็บมาสเตอร์ โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-12-17 21:33:25 IP : 58.64.76.239


Copyright © 2010 All Rights Reserved.