ReadyPlanet.com


ฝ่ากระแสฟันด์ โฟลว์-รับเลือกตั้ง ลดพอร์ตหุ้น ถือเงินสด


ที่มา: กรุงเทพธุรกิจ Bizweek 19 ตุลาคม 2550

จัดพอร์ตลงทุนอย่างไร ท่ามกลางกระแสเงินทุนนอก "ทะลัก" เข้าสู่ตลาดหุ้นไทย และก่อนเลือกตั้งปลายปี...นักวิเคราะห์ด้านฟันด์ โฟลว์ เตือนภัยหุ้นไทยอาจขึ้นก่อน แล้ว "ลงแรง" ในช่วงปลายเดือนนี้ (ตุลาคม) หากเม็ดเงินทุนนอกไหลกลับ กรณีเฟดไม่ปรับลดดอกเบี้ยในวันที่ 31 ตุลาคม 2550

แนะลดพอร์ตลงทุน "หุ้น" ให้เหลือไม่เกิน 50% ส่วนที่เหลือถือ "เงินสด" และกองทุนตราสารหนี้ เลี่ยงความเสี่ยงยามตลาดหุ้นกระแทก "ลงแรง" แล้วค่อยเข้าซื้ออีกครั้ง...

--

แม้ว่าดัชนีหุ้นไทยจะไต่ระดับขึ้นไปแตะจุดสูงสุดระหว่างวันที่ 908.83 จุด เมื่อ 16 ตุลาคม 2550 แต่...ในมุมมองของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ประเมินการลงทุนในหุ้นไทย อาจจะเผชิญกับปัจจัย "เสี่ยง" ที่จะหัน "หัวลง" ได้ทุกเมื่อ

นักลงทุนจึงจำเป็นต้องลงทุนอย่างระมัดระวังในช่วงนี้

วิศิษฐ์ องค์พิพัฒนกุล กรรมการและรองกรรมการผู้จัดการ บล.ทรีนีตี้ กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยที่ปรับตัวขึ้นมาได้ในช่วงเดือนนี้ เป็นผลมาจากการขับเคลื่อนของฟันด์ โฟลว์ หรือเม็ดเงินต่างชาติที่ไหลทะลักเข้ามาต่อเนื่อง แต่อีกด้านหนึ่งก็เป็นความเสี่ยงต่อการลงทุน เนื่องจากเม็ดเงินทุนเหล่านี้จะไหลออกไปเมื่อใดก็ได้ ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวลดลง หรือเป็นลักษณะการขึ้นก่อนแล้วปรับตัวลง

ปัจจัยเสี่ยงที่จะกระทบหุ้นไทยที่วิศิษฐ์ให้น้ำหนักมากที่สุดจะมาจากปัจจัยภายนอกประเทศ โดยเฉพาะนโยบายเรื่องอัตรา "ดอกเบี้ย" ของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด)

วิศิษฐ์ บอกว่า สิ่งที่นักลงทุนจะต้องระวังในช่วงปลายเดือนนี้ (ตุลาคม) ก็คือ ต้องจับตาดูว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยหรือไม่ในวันที่ 31 ตุลาคม 2550 ซึ่งผลที่ออกมาจะส่งผลกระทบจากฟันด์ โฟลว์ ที่ไหลเข้าตลาดหุ้นในภูมิภาคและหุ้นไทยแตกต่างกัน

กรณีที่เฟด "ไม่" ปรับลดดอกเบี้ย เขาคาดว่าเม็ดเงินทุนนอกจะไหลกลับไปลงทุนในตลาดพันธบัตรของสหรัฐ ซึ่งจะทำให้เกิดการเทขายหุ้นในตลาดเกิดใหม่ รวมถึงหุ้นไทย

กรณีที่เฟดปรับ "ลด" ดอกเบี้ยลง จะเป็นตัวบ่งบอกว่า เศรษฐกิจของสหรัฐ เกิดการถดถอยแท้จริง ผลที่ตามมาก็คือ เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศจะไหลออกจากสหรัฐ เพื่อไปหาแหล่งลงทุนใหม่ โดยเฉพาะการเข้าลงทุนในตลาดเกิดใหม่ อย่างตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงหุ้นไทย

"ทุกครั้งที่เฟดลดดอกเบี้ยจะมีตลาดหุ้นอื่นๆ จะได้ประโยชน์ เช่น เมื่อปี 2530 เฟดลดดอกเบี้ย ได้ส่งผลให้หุ้นนิกเคอิทำจุดสูงสุดจากระดับ 8,000 จุด เพิ่มเป็น 16,000 จุด หรือในปี 2535 ดัชนี MSCI Emerging Market ปรับขึ้นสามเท่า และในปี 2541 หุ้นแนสแด็กขึ้นมาสี่ห้าเท่า หรือหุ้นไทยขึ้นไป 1,700 จุด ฉะนั้น หากเฟดลดในรอบนี้อาจทำให้ตลาดหุ้นเกิดใหม่ รวมถึงไทยจะได้รับอานิสงส์ไปด้วย"

อย่างไรก็ตาม วิศิษฐ์ให้น้ำหนักที่เฟดจะลดดอกเบี้ยเพียง 40% เท่านั้น โดยเขาให้ "น้ำหนัก" ที่เฟดจะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่เดิมมากกว่า จากตลาดเฟด ฟันด์ล่วงหน้า ที่คาดว่าเฟดจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยลงอีก

นอกจากนั้น รายการซื้อขายล่วงหน้าในตลาดอนุพันธ์ (TFEX) ของนักลงทุนต่างชาติ ก็เป็นตัวชี้ได้ว่า หุ้นไทยมีโอกาสที่จะขึ้น แล้วปรับตัวลงแรงมาก...

กูรู ฟันด์ โฟลว์ บอกว่า นับแต่เดือนกันยายนถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2550 ต่างชาติได้ซื้อสุทธิ (Net Long) ในตลาดอนุพันธ์แล้ว 2,200 รายการ และคาดว่าจะซื้อเพิ่มได้อีก 1,000 รายการ หรืออีกราว 1 หมื่นล้านบาทเท่านั้น ตรงนี้ประเมินดัชนีหุ้นไทยได้ว่า จะทะลุ 900 จุดไปได้

"เราประเมินว่า ดัชนีหุ้นไทยจะขึ้นไปได้ถึง 940-950 จุด แต่หากเมื่อใดที่ต่างชาติ "ปิดสถานะ" (Position) เมื่อใด หุ้นไทยจะร่วงลงค่อนข้างแรง"

ด้าน เผดิมภพ สงเคราะห์ รองกรรมการผู้จัดการ บล.บัวหลวง ให้มุมมองว่า ในช่วงที่ตลาดปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ ถ้ามองทางเทคนิค ถือว่าเป็นการ "ซื้อ" มากเกินไปแล้ว เงินที่เข้ามาจึงพร้อมทุกเมื่อที่จะขายทำกำไร โดยเฉพาะในหุ้นที่เกี่ยวกับสินค้าโภคภัณฑ์ทุกบริษัท ขณะที่โอกาสที่หุ้นพวกนี้จะปรับตัวขึ้นต่อไปมากๆ ก็มีค่อนข้างจำกัดแล้ว

"สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือ หุ้นโภคภัณฑ์จะขึ้นต่อ หรือเกิดแรงขายทำกำไร ในระยะสั้นเรามองว่า จะเกิดการเทขายทำกำไร หากนักลงทุนขายทำกำไรในหุ้นสินค้าโภคภัณฑ์พร้อมๆ กัน ก็จะทำให้นักลงทุนที่ลงทุนในตลาดหุ้นเกิดความเสี่ยงได้"

ปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะการเมือง นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มั่นใจว่าจะเกิดการเลือกตั้งขึ้น แม้ว่าจะเลื่อนเวลาออกไปบ้าง

ที่น่ากังวลใจก็คือ การลงทุนในช่วงหลังการเลือกตั้ง อาจทำให้นักลงทุนต่างชาติเกิดความไม่มั่นใจได้ ซึ่งต้องติดตามนโยบายของรัฐบาลใหม่ว่าจะเป็นอย่างไร

ฉะนั้น การจัดพอร์ตลงทุนในช่วงตลาดหุ้นผันผวน และรับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในช่วงปลายปีนี้ วิศิษฐ์ ให้แนวทางว่า ควรจัดพอร์ต ลงทุนในหุ้นลักษณะพีระมิด (รูปสามเหลี่ยมแนวตั้ง)

เขาหมายถึงว่า ยิ่งเมื่อใดที่ดัชนีหรือราคาหุ้นปรับตัวขึ้นมาก ก็ให้ลดน้ำหนักลงทุนลง หรือขายหุ้นออก แต่ให้เพิ่มสัดส่วนลงทุนในหุ้น เมื่อราคาหุ้นปรับตัวลง

"ช่วงที่หุ้นกำลังเป็นขาขึ้นเช่นช่วงนี้ เราแนะนำให้ลดพอร์ตลงทุน โดยให้เหลือหุ้นในพอร์ตไม่เกิน 50% ส่วนที่เหลือให้ถือเป็นเงินสด หรือลงทุนในกองทุนตราสารระยะสั้น (มันนี่ มาร์เก็ต) ซึ่งยังให้ผลตอบแทนที่ดี"

การเลือกหุ้นลงทุน เขาเสนอแนะให้พิจารณาหุ้นที่จะเกิดการ "เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง" (Structures Change) เช่น กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หรือกลุ่มก่อสร้างที่เปลี่ยนแปลงโครงสร้าง จะทำให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นไปได้ ตลอดจนหุ้นบันเทิง สื่อสารบางตัว และกลุ่มแบงก์พาณิชย์ ซึ่งในปี 2551 จะมีการเติบโตของกำไรอย่างสูงมาก

แต่ให้นักลงทุนซื้อหุ้น เมื่อดัชนีหุ้นปรับตัวลงต่ำ จะเป็นจังหวะลงทุนที่ดี

ถ้าพิจารณาการเลือกหุ้น รับการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้น วิศิษฐ์ บอกว่า ถ้าดูจากสถิติการเลือกตั้ง 3 ครั้งที่ผ่านมา (นับจากปี 2539-2548) พบว่า ช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้ง หุ้นในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ไฟแนนซ์ และสื่อสาร จะมีราคาปรับเพิ่มขึ้น "โดดเด่น"

"สถิติพบว่า กลุ่มแบงก์ ไฟแนนซ์ และสื่อสาร จะขึ้นแรงรับการเลือกตั้งก่อน 1 เดือน โดยหุ้นกลุ่มแบงก์พาณิชย์ ให้ผลตอบแทนถึง 9.2% กลุ่มไฟแนนซ์ 8.5% และกลุ่มสื่อสาร 7% ถือว่าให้ผลตอบแทนมากกว่าตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ 5.9%" วิศิษฐ์ กล่าว

ทางด้าน "เผดิมภพ" ให้แนวทางจัดพอร์ตก่อนรับเลือกตั้งว่า การที่ผลตอบแทนราคาพันธบัตรระยะกลางอายุ 1 ปีขึ้นไป เริ่มลดลงและไม่จูงใจเช่นที่ผ่านมา น่าจะเป็นจังหวะที่นักลงทุนลดสัดส่วนการลงทุนลง ด้วยการขายทำกำไรออกไปบ้าง และให้เตรียมนำเงินไปลงทุนในหุ้นเพิ่มขึ้น

โดยให้เน้นหุ้นกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเมือง 4 กลุ่ม คือ กลุ่มบันเทิง กลุ่มโรงไฟฟ้า กลุ่มรับเหมา และหุ้นส่งออก

"หุ้นบันเทิง แนะนำให้ซื้อ MCOT เพราะจะมีเม็ดเงินโฆษณาเข้ามามากขึ้นในช่วงเลือกตั้ง ขณะนี้ราคาหุ้นเริ่มปรับตัวเพิ่มขึ้น หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้า เนื่องจากรัฐบาลมีแผนที่จะเปิดประมูลโรงไฟฟ้าในปีนี้ เราแนะนำ RATCH และ EGCO

กลุ่มรับเหมา แนะนำ ITD CK และ STEC

หุ้นเกี่ยวกับธุรกิจส่งออก เช่น กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เรามองว่าช่วงปี 2549-2553 จะเป็นขาขึ้นของธุรกิจชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ จึงแนะนำ HANA DELTA และ CCET

หุ้นที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเมืองโดยตรงและถือว่าน่าสนใจ เช่น กลุ่มสินค้าโภคภัณฑ์ หากราคาปรับตัวลดลงก็สามารถเข้าซื้อได้ แนะนำ BANPU PTT PTTCH TOP " เผดิมภพ กล่าว

แม้ว่านักลงทุนกำลังมีความสุขกับตลาดหุ้นช่วง "ขาขึ้น" เพราะแรงผลักดันจากฟันด์ โฟลว์ แต่อย่าลืมระมัดระวัง และควบคุมความเสี่ยงเอาไว้ด้วย...



ผู้ตั้งกระทู้ dr กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-10-22 12:59:13 IP : 58.64.90.163


Copyright © 2010 All Rights Reserved.