สวัสดีครับคุณบุญชนะ

การที่ความสัมพันธ์ของ Dollar และทองคำ อาจจะไม่ได้เป็นแบบผกผันกันตลอดเวลาครับ
เพราะตลาดการเงินการลงทุนมีสินทรัพย์หลายอย่างให้เลือกลงทุน ซึ่งมันไม่ได้ผูกกันแบบจับคู่กันตลอด

ดังนั้นผมจะให้คำแนะนำโดยสรุปสถานการณ์ปัจจุบันดังนี้นะครับ

เนื่องจากสถานการณ์ของกรีซ ส่งผลต่อความกังวลถึงสถานะทางการเงินของประเทศในยุโรปหรือกลุ่มประเทศที่ใช้เงินในสกุลยูโร ซึ่งหากIMF ปล่อยให้กรีซล้ม ก็จะส่งผลต่อเนื่องไปถึงประเทศอื่นที่มีปัญหาอยู่ในตอนนี้ คือ โปรตุเกส, ไอแลนด์, สเปน เป็นต้น ซึ่งจะเห็นได้ว่าล่าสุดค่าเงินยูโรอ่อนค่าลงอย่างมากทำสถิติใหม่

จึงจะเห็นได้ว่าดัชนีดอลลาร์ index ได้ปรับตัวสูงขึ้น เนื่องจากค่าเงินยูโร มีน้ำหนักในการคำนวนดัชนีถึง 57% 

ซึ่งเหตุการณ์ของกรีซอาจส่งผลต่อเนื่องถึงภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกที่อาจเกิดวิกฤติ รอบสอง โดยตอนนี้นักลงทุนทั่วโลกจึงคิดว่าเศรษฐกิจโลกอาจไม่ได้ปรับตัวเร็วอย่างที่คิด จึงมีการขายสินทรัพย์เสี่ยง ออกมา
ได้แก่ หุ้น ซึ่งจะเห็นจากดัชนีตลาดหุ้นอังกฤษ ญี่ปุ่น อเมริกา ฮ่องกง ไต้หวัน เกาหลี มีการอ่อนตัวลงอย่างมากในช่วง 2สัปดาห์ที่ผ่านมา    ส่วนน้ำมันก็จะถูกขายเพราะจะปรับตัวลงจากการอ่อนค่าของดอลลาร์ และมองถึงเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

ดังนั้นเงินสดจากการได้ขายสินทรัพย์ออกมาต้องหาที่พักเงิน ดังนั้นเงิน ณ ตอนนี้ จึงไหลไปหาสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่นพันธบัตรรัฐบาลอเมริกา (เนื่องจากตลาดอเมริกาเป็นตลาดเงินที่ใหญ่ที่สุด) เห็นได้จาก ผลตอบแทนของพันธบัตรระยะยาวรัฐบาล อเมริกา ปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว เพราะเกิดจากเงินไหลเข้า และนี้เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้เงินดอลลาร์แข็งขึ้นจาก Demand ของนักลงทุนที่ต้องการซื้อดอลลาร์ เพื่อเข้าตลาดพันธบัตร

ส่วน ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำ จึงทำให้เงินไหลเขาถือครองทองคำมากขึ้น
จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ทองคำทำ new high รวมถึงปีนี้ สถาบันการเงินของแต่ละประเทศมีแผนการสำรองทองคำมากขึ้นแทนเงินสกุลดอลลาร์ และล่าสุด SPDR Gold ที่เป็น ETF Fund ที่ใหญ่ที่สุดมีการถือครองทองคำมากขึ้นกว่าเดือนที่แล้ว จาก 1140 ตัน เป็น 1190 ตัน จึงส่งผลให้ Demand ทองคำมากขึ้นไปด้วยอีก

ทั้งนี้แนวโน้มของอัตราดอกเบี้ยอ้างอิงเช่น FED หรือ RP1day นั้นจะปรับตัวขึ้นลงจาก yield ของตราสารหนึ้อายุต่างๆ ซึ่ง yieldของตราสารหนึ้ นั้นก็มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นลงตามกระแสเงินที่ไหลเข้าออก ดังนั้นแนวโน้มดอกเบี้ยจะปรับขึ้นก็ต่อเมื่อดูภาพรวมทั้งเศรษฐกิจ เงินเฟ้อ และ แนวโน้มของผลตอบแทนตราสารหนี้ ทีมีกรอบปรับตัวสูงขึ้น ซึ่ง ณ ตอนนี้แนวโน้มดอกเบี้ยอาจจะไม่รีบขึ้น เนื่องจาก yield ปรับตัวลดลงอย่างมากในช่วงนี้(จากเงินไหลเข้าตราสารหนึ่) และแนวโน้มเศรษฐกิจที่ไม่น่าที่จะปรับตัวขึ้นเร็วในช่วงนี้

ส่วนยางพาราที่ปรับตัวทำnew high ในช่วงนี้ เกิดขึ้นจากราคาน้ำมันโลกที่ปรับตัวขึ้นแรงในช่วงก่อนหน้า และปรับตัวขึ้นต่อเนื่องกว่า 1ปี จากจุดต่ำสุดที่ 35 ขึ้นมาhighถึง 85เหรียญ
ซึ่งยางพาราเป็นสินค้าทดแทนในสินค้าปิโตรเคมี ที่ผลิตยางสังเคราะห์ได้ ดังนั้นราคามันมักจะไปเป็นคู่ขนานกับราคาน้ำมัน แต่อัตราการปรับตัวขึ้นลงอาจไม่ได้เป็นสัดส่วนเดียวกัน เพราะราคายางยังขึ้นอยู่กับ Demand ของยางพาราโลก  ซึ่งจะเห็นได้ว่าผู้ผลิตอย่างจีนยังมีการบริโภคอยู่ต่อเนื่อง จึงทำให้ยางปรับตัวลงน้อยกว่าน้ำมัน เป็นต้น

ซึ่งจริงแล้วผมอาจแนะนำให้มองภาพการลงทุนในมุมกว้าง และมองสถานะตัวเองอย่างผู้จัดการกองทุน ที่ต้องบริหารเงินจำนวนมากๆ ที่ต้องเคลื่อนย้ายเงินลงทุน ไปเลือกลงทุนในสินทรัพย์ต่างๆ ทั้งนี้เพื่อจะได้เห็นภาพรวมครับ

ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือควรอ่านบทวิเคราะห์เยอะๆ ครับ จะได้เห็นมุมมองของนักวิเคราะห์และ Fund manager ว่ามีแนวคิดอย่างไร (ไม่ได้บอกว่าเขาเหล่านี้ เป็นผู้เก่งกว่าเรา) แต่จะทำให้เราสามารถอ่านเกมส์การลงทุนในเชิงมหภาคได้มากขึ้น  รวมถึงเรียนรู้ถึงแนวคิดการลงทุนสินทรัพย์ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กันไปมา ครับ

หวังว่าคงเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อยครับ

ขออนุญาตไปแปะข้อมูลบนเวปบอร์ดเพื่อเป็นประโยชน์กับนักลงทุนคนอื่นๆ นะครับ