การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน
วันที่ 6 มกราคม 2554 01:00"Derivative Warrants" ไม่รู้จริง ห้ามเข้า!!

ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (DW) ของเล่นใหม่บนกระดานหุ้น ใครมีอยู่ในครอบครองเสมือนถือ "ระเบิดเวลา" ไว้กับมือ "รวย" กับ "เจ๊ง" เส้นห่างกันแค่คืบ

ใบสำคัญแสดงสิทธิอนุพันธ์ (Derivative Warrants) หรือเรียกสั้นๆ ว่า DW เป็นตราสารที่ "ผู้ออก" (โบรกเกอร์) ให้สิทธิกับ "ผู้ซื้อ" (นักลงทุน) ในการซื้อหลักทรัพย์อ้างอิงในอนาคตในราคา จำนวน และเวลาที่กำหนด โดยผู้ออก DW เป็น "บุคคลที่สาม" (โบรกเกอร์) ซึ่งไม่ใช่บริษัทจดทะเบียนเจ้าของหุ้น

ปัจจุบันผู้ออก DW มีโบรกเกอร์ 6 ราย ได้แก่ บล.เอเซีย พลัส, บล.บัวหลวง, บล.กิมเอ็ง (ประเทศไทย), บล.ภัทร, บล.เคที ซีมิโก้ แต่เจ้าตลาดตัวจริงในตราสารประเภทนี้คือ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย) ปัจจุบันมี DW ที่เทรดอยู่ในกระดานหุ้นประมาณ 40 ตัว คาดกันว่าปี 2554 อาจจะออกมาเกือบ "ร้อยตัว"

โดยหลักทรัพย์อ้างอิงที่ออก DW ปัจจุบันมีจำนวน 18 หลักทรัพย์ ได้แก่ ADVANC, BANPU, BBL, BAY, CPF, IVL, KBANK, KTB, PS, PTT, PTTAR, PTTEP, PTTCH, SCB, SCC, TCAP, TOP และ TTA  ข้อดีของการซื้อขาย DW ก็คือ ใช้เงินลงทุนน้อยเมื่อเทียบกับการซื้อขายหลักทรัพย์อ้างอิงโดยตรง ทำให้อัตราผลตอบแทนที่ได้รับจากการลงทุนใน DW สูงหรือต่ำกว่าการลงทุนในหุ้นตัวนั้นเป็นอย่างมาก

เมื่อมีโอกาส "รวยเร็ว" อีกด้านก็มีโอกาส "เจ๊งเร็ว" ได้เช่นเดียวกัน เนื่องจาก DW มีอายุที่จำกัด และราคาของ DW ยังเปลี่ยนแปลงตามราคาหลักทรัพย์อ้างอิงในอัตราที่มากกว่ามาก ยกตัวอย่างวันที่มีข่าว ครม.จ้องฟ้อง AIS จำนวน 7.5 หมื่นล้านบาท หุ้นแม่ ADVANC ปรับลดลงประมาณ 4% แต่ DW ของ ADVANC ดิ่งลงไปประมาณ 22% ขาขึ้นก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน 

นฤมล อาจอำนวยวิภาส ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าฝ่ายธุรกิจตราสารอนุพันธ์ บล.
เคจีไอ (ประเทศไทย) ผู้นำในการออก DW รายแรกของไทย แนะแนวว่า การลงทุน DW ขอให้นักลงทุน "มีวินัย" เมื่อราคาถึงเป้าหมายแล้วก็ควรจะขายออกไป อย่าลืมว่า DW เป็นแค่ "ตราสาร" ไม่ใช่ "สินทรัพย์" ถือไปก็ไม่มีสิทธิได้หุ้นสามัญ ขอให้เป็นการ "ลงทุนระยะสั้น" เท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ควรจะเลือกลงทุน DW ที่ออกใหม่เพราะราคาที่ตั้งไว้จะถูกกำหนดขึ้นจากต้นทุนจริงและพื้นฐานราคาของหุ้นแม่ แต่ถ้าเทรดบนกระดานแล้วราคาอาจผันแปรตามดีมานด์และซัพพลายในตลาด ถ้าภาพรวมตลาดดีราคาอาจถูกปั่นจนเกินความจริง

เธอกล่าวว่า กรณีที่มี DW ที่อ้างอิงกับหุ้นแม่ตัวเดียวกันที่ออกโดยโบรกเกอร์หลายเจ้า ควรดูที่อายุตราสารและราคาใช้สิทธิควบคู่กันไป ที่ต้องระวังอย่างมากคือ DW ที่ใกล้จะ "หมดอายุ" จะมีความเสี่ยง "สูงมาก" ทางที่ดีอย่าเข้าไปเล่น

กวี นำพาเจริญ  รองผู้จัดการฝ่ายธุรกิจอนุพันธ์ บล.บัวหลวง กล่าวว่า DW เป็นเครื่องมือที่ตอบโจทย์ของคนที่ต้องการกำไรมากกว่าซื้อหุ้นปกติ เพราะ DW เป็นตราสารที่มีอัตราทด (Gearing) มากกว่าหุ้นสามัญเช่นหุ้นทั่วไปถ้าขึ้น 1% แต่ DW อาจขึ้นได้ถึง 5% มันจะขึ้นเร็วลงเร็วมากสังเกตได้ว่าถ้าตลาดขึ้นแรงๆ DW ส่วนใหญ่จะติดชาร์ท Top Gainers กันเกือบหมด แต่ถ้าลงแรงๆ ก็จะไปติด Top Losers เหมือนกัน

เพราะฉะนั้น DW จึงเหมาะสมกับ "นักลงทุนระยะสั้น" ที่ต้องการผลตอบแทนสูงๆ เร็วๆ ไม่เหมาะสมกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว ถ้ากำไรก็จะได้เยอะมากแต่ถ้าขาดทุนก็เจ็บตัวหนักได้เช่นกัน

“ผู้ที่จะมาเล่น DW ควรเล่นหุ้นเป็นมาก่อนเพราะถ้าไม่รู้อะไรเลยก็เหมือน "เล่นพนัน" อย่างหนึ่ง ส่วนมาก DW ที่ออกมาจะมีอายุไม่เกิน 5 เดือน แต่เราแนะนำว่าควรเล่นในกรอบเวลาไม่เกิน 1 เดือนพอ แต่พฤติกรรมที่เราเห็นเยอะคือเทรดไม่เกินหนึ่งวันเช้าเข้าบ่ายออก”

วิธีการลงทุนอย่างถูกต้อง กวี บอกว่า เล่น DW ต้องดูค่าความผันผวนแฝง (Implied Volatility) หาด้วยแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ซึ่งโบรกเกอร์จะสรุปตัวเลขวันต่อวันถ้ามีความผันผวนสูงหรือเกินกว่า 100% แปลว่า DW ตัวนั้น “แพง” ไม่ควรเข้าไปเล่นแล้ว อีกวิธีหนึ่งคือดูที่อัตราทด (Gearing) ถ้าอยู่ในอัตราสูงแปลว่า DW ตัวนั้นวิ่งเร็วเช่นมีอัตราทด 5 เท่า ถ้าเราเข้าถูกทางจะได้กำไรเพิ่มถึง 5 เท่าตัว

กลยุทธ์การเป็น “ผู้ชนะ” ในสังเวียนนี้ต้องยึดหลัก  "ห้ามถือยาว" (เด็ดขาด) เมื่อขาดทุนต้อง Cut Loss ทันที และ "ห้ามซื้อเฉลี่ยราคา" เหมือนกับหุ้นเด็ดขาด เพราะเมื่อถึงคราวจะลงไม่มีใครห้ามได้ ขอให้เราตั้งเป้าไว้ล่วงหน้าเลยว่าสามารถรับขาดทุนได้กี่เปอร์เซ็นต์ ทั่วไปแล้ว DW ที่ใกล้จะหมดอายุความเสี่ยงจะ "ยิ่งสูง" เป็นเท่าทวี เขาสรุปว่าถ้าใครคิดว่ารับความเสี่ยงไม่ได้  "อย่าเข้าไปเลยดีกว่า"

ธนวัฒน์ พานิชเกษม กรรมการผู้จัดการ หัวหน้าสายงานค้าหลักทรัพย์และสัญญาซื้อขายล่วงหน้า บล.ภัทร อธิบายว่า DW ไม่ใช่ Zero Sum Games (มีคนได้ต้องมีคนเสีย) เพราะผู้ออกตราสารคือบริษัทหลักทรัพย์จะมีรายได้จากค่าพรีเมียมหรือค่าธรรมเนียมขณะที่นักลงทุนก็จะได้ส่วนต่างของราคาเป็นกำไร ถือว่าสองฝ่าย "วิน-วิน" ทั้งคู่

"มีคนเข้าใจว่าผู้ออก DW ก็คือโบรกเกอร์ไม่มีขาดทุน แท้จริงแล้วไม่ใช่ มีสิทธิขาดทุนได้เหมือนกันขึ้นอยู่กับการบริหารความเสี่ยงจากความผันผวนของราคาแม้กระทั่งเวลาที่หุ้นขึ้นก็ขาดทุนได้ แต่ถ้าหุ้นขึ้นในกรณีที่เป็น Call Warrants นักลงทุนมีโอกาสกำไรมากกว่าขาดทุน"

เขาอธิบายว่าจุดประสงค์ของการออกตราสารการเงินที่มีกำหนดอายุการจ่ายผลตอบแทน และความเสี่ยงขึ้นอยู่กับสินค้าอ้างอิงเป็นการบริหารความเสี่ยงให้กับนักลงทุนไม่ใช่เก็งกำไร กรณีของ DW ออกมาเพื่อเป็น “ตัวเร่ง” ให้ได้ผลตอบแทนที่สูงขึ้น ขณะเดียวกันจะมีการจำกัดการขาดทุนในตัว

วิธีการลงทุนให้สำเร็จหลักการง่ายๆ ราคา DW จะวิ่งตามราคาของหุ้นแม่แน่นอน ขอให้เราวิเคราะห์ทิศทางราคาหุ้นให้ถูกทาง "ถ้าผิดทาง ต้องตัดใจขายขาดทุนทันที"  ราคาจะวิ่งขึ้นหรือลงมันขึ้นอยู่กับสิ่งที่วิเคราะห์ในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ เช่นวิเคราะห์ทางพื้นฐานหรือกราฟเทคนิค

มุมมองของ บล.ภัทร คิดว่าปี 2554 การลงทุนใน DW น่าจะสมเหตุสมผลมากขึ้นเพราะปีนี้ถือว่าเป็นของใหม่ในตลาดหุ้น ราคา DW ค่อนข้างจะถูก “ปั่น” จนเกินความจริงบางตัวเคยขึ้นไปถึง 300% ถือว่าผิดความจริงมาก ทำให้ตลาดหลักทรัพย์ต้องหยุดความร้อนแรงด้วยการให้ซื้อขายด้วยเงินสด

“ตอนนี้พวกเรา (โบรกเกอร์) ที่จะออก DW เริ่มคุยกันมากขึ้นเรื่องการควบคุมไม่ให้ราคาวิ่งเกินความจริง ปีหน้านักลงทุนคงเล่น DW ง่ายขึ้นเพราะมีความรู้กันมากขึ้น และน่าจะมี Put Warrant (เก็งตลาดขาลง) ออกสู่ตลาดมากขึ้นเพราะตลาดหุ้นปีหน้าจะผวนมากขึ้น” ธนวัฒน์กล่าว

ด้าน "เอ็ม" นักลงทุนรายใหญ่ที่นิยมเล่น DW ให้คำแนะนำว่าหน้าใหม่ที่คิดจะมาทดลองให้เล่นตัวที่เพิ่งออกใหม่ดีกว่าเพราะราคาที่โบรกเกอร์คำนวณจะสมเหตุสมผล ส่วนตัวมองว่าปี 2554 จะเล่น DW ยากขึ้นเพราะตลาดหุ้นจะไม่ขึ้นขาเดียวเหมือนปีนี้แน่นอน "ถ้าตลาดผันผวนเดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงแบบนี้ดูยาก"

เอ็มบอกว่า ตนเองจะเล่น DW สั้นมากๆ บางครั้งซื้อเช้า-บ่ายขาย เพราะมองว่าเหมือนกับ "ถือลูกระเบิดไว้ในมือ" ไม่รู้จะระเบิดเมื่อไร แต่พอจะคาดเดาได้จากค่า Implied Volatility ถ้าเกิน 100% แปลว่า "อันตราย" ตอนนี้บางโบรกจะคำนวณให้ทุกๆ 15 นาที แทนที่จะรอสรุปสิ้นวันขอให้นักลงทุนติดตามดูให้ดี ถ้าเป็นรายย่อยได้กำไรพอสมควรก็ขายไปดีกว่า