ตลาดหลักทรัพย์ เผยโครงการ บจ.ซื้อหุ้นคืนประสบความสำเร็จ 28 บริษัทกำไร เฉลี่ย 149% จากจำนวน 30 แห่ง “ชนิตร” ชี้เป็นเครื่องมือแก้ปัญหาในยามดัชนีปรับตัวลดลงได้อย่างดี พร้อมเชื่อนักลงทุนจะมั่นใจลงทุน บจ.ปัจจัยพื้นฐานดี ช่วงภาวะตลาดหุ้นปรับตัวลดลง
       
       นาย ชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้ช่วยผู้จัดการกลุ่มงานผู้ออกหลักทรัพย์และบริษัทจดทะเบียน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.)เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน(บจ.)ที่เข้าโครงการซื้อหุ้นคืน(Treasury Stock)ในปีนี้มีบริษัทจำนวน30 บริษัทที่อยู่ระหว่างช่วงการขายหุ้นคืน ซึ่งมีบจ.จำนวน 28 บริษัท ซึ่งขณะนี้มีกำไร ( ราคาหุ้นที่ซื้อคืน ต่ำกว่าราคาหุ้น ณ ปัจจุบัน ) เฉลี่ยมีกำไร 149% แสดงให้เห็นว่าการซื้อหุ้นคืนซึ่งเป็นเครื่องมือของตลาดทุนที่นำมาใช้แก้ปัญหาในช่วงที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงทำให้ราคาหุ้นของบริษัทมีการปรับตัวลดลงต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชี (บุ๊กแวลู)นั้นได้ผลอย่างชัดเจน
       
       ขณะเดียวกัน โครงการดังกล่าว ทำให้นักลงทุนได้มีความเข้าใจและมีความเชื่อมั่นมากขึ้นว่าบจ.ที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีแต่ราคาหุ้นมีการปรับตัวลดลงจากภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวลดลงนั้น ทำให้ราคาหุ้นต่ำกว่าบุ๊คแวลู แต่เมื่อภาวะตลาดหุ้นมีการปรับตัวดีขึ้นราคาหุ้นของบริษัทก็จะมีการปรับตัวเพิ่มขึ้น โดยในปีนี้มีบจ.ที่อยู่ในช่วงการขายหุ้นคืน ได้มีการขายหุ้นที่ซื้อคืนออกมาในตลาด แต่มีบางบริษัทที่มีการใช้วิธีการลดทุนจดทะเบียน จากที่ไม่มีความจำเป็นในการใช้เงินทุน ซึ่งการใช้วิธีลดทุนจดทะเบียนส่งผลดีต่อผู้ถือหุ้น จากจำนวนหุ้นลดลง กำไรต่อหุ้น P/E มากขึ้น การจ่ายเงินปันผลก็จะมากขึ้นเช่นกัน
       
       “เมื่อบจ.มีการซื้อหุ้นคืนเสร็จแล้วและเข้าสู่ช่วงการขายหุ้นที่ซื้อคืนนั้น มีหลายวิธีที่จะมีการดำเนินการกับหุ้นที่ซื้อคืนมา เช่น มีการขายหุ้นคืนออกมาในตลาดซึ่งเงินก็จะเข้าบริษัท แต่บางบริษัทที่มีต้องการใช้เงินทุนก็จะใช้วิธีการลดทุนจดทะเบียน โดยขึ้นอยู่กับบริษัทว่าจะมีการดำเนินการอย่างไร ส่วนการที่ดัชนีตลาดหุ้นไทยมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นนั้นจะทำให้ทั้ง30 บริษัทมีการขายหุ้นออกมาหรือไม่นั้นไม่สามารถตอบได้ขึ้นอยู่กับนโยบายบริษัท แต่มีหลายบริษัทที่มีการทยอยขายหุ้นออกมาบ้างแล้ว”
       
       จากข้อมูลของตลาดหลักทรัพย์ในปีนี้มีบจ.จำนวน 15 แห่ง มีการขายหุ้นคืนออกมาแล้ว ประกอบด้วย บมจ.ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน หรือ ROBINS โดยซื้อราคาต่ำสุดที่ 5.6 บาท โดยราคาซื้อสูงสุดที่ 8 บาท ราคาหุ้นที่มีการขายคืนต่ำสุด 19.7 บาทและสูงสุด 22.3บาท บมจ.กระเบื้องหลังคาตราเพชร หรือ DRT ซื้อราคาต่ำสุดที่1.29 บาท ซื้อราคาสูงสุดที่ 2.08 บาท ราคาขายต่ำสุด 4.52 บาท และสูงสุด 4.88 บาท บมจ. ดีเอสจี อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ DSGT ช่วงที่ซื้อราคาต่ำสุดอยู่ที่ 2.84 บาท ราคาสูงสุดที่ 3.06 บาท ราคาขายคืนต่ำสุด 9.4 บาท และสูงสุด 12.3 บาท
       
       บล.กิมเอ็ง หรือ KEST ราคาซื้อคืนต่ำสุดที่ 6.65 บาทต่อหุ้น สูงสุดที่ 7 บาท ราคาขายคืนต่ำสุดอยู่ที่ 15.6 บาท สูงสุด 17.2 บาท บมจ. ทรัพย์ศรีไทย หรือ SST ราคาซื้อต่ำสุดที่ 4.18 บาท ราคาซื้อสูงสุดที่ 5.3 บาท ราคาขายคืนต่ำสุด7.6 บาท สูงสุด 8.5 บาทต่อหุ้น
       
       บมจ. สามารถคอร์ปอเรชั่นหรือ SAMART ราคาซื้อคืนต่ำสุด 5.05 บาท ราคาซื้อคืนสูงสุด 5.75 บาท ราคาขายคืน 6.25 บาท สูงสุด 8.95 บาท บมจ. ซีเฟรชอินดัสตรี หรือ CFRESHราคาซื้อคืนต่ำสุด 1.01 บาท สูงสุด 1.31 บาท ราคาขายคืนต่ำสุด 5.15 บาท สูงสุด 5.25 บาท บมจ. เคซีอี อีเลคโทรนิคส์ หรือKCE ราคาซื้อคืนต่ำสุด 1.05 บาท สูงสุด 1.48 บาท ราคาขายคืนต่ำสุด 5.74 บาท และสูงสุด 7.43 บาท
       
       บมจ. บีจีที คอร์ปอเรชั่นหรือ BGT ราคาซื้อคืนต่ำสุด 4.18 บาท ราคาซื้อคืนสูงสุด 4.46 บาท ราคาขายคืนต่ำสุด 1.99 บาท สูงสุด 2.02 บาท บมจ.นวลิสซิ่งหรือ NVL ราคาซื้อคืนต่ำสุด 0.29 บาท ราคาซื้อคืนสูงสุด 0.43 บาท ราคาขายคืนต่ำสุด 1.02 บาท สูงสุด1.05 บาท บมจ.แปซิฟิกไพพ์ หรือ PAP ราคาซื้อคืนต่ำสุด 0.8 บาท สูงสุด 0.98 บาท ราคาขายคืน1.58 บาท สูงสุด 1.67 บาท บมจ.ระยองเพียวริฟายเออร์ หรือRPC ราคาซื้อคืนต่ำสุด 4.4 บาท สูงสุด 5.05 บาท ราคาขายคืนคือ 2.55 บาท
       
       ตั้งแต่ปี2544-ปัจจุบัน มีบจ.ประกาศซื้อหุ้นคืน จำนวน81 บริษัท รวม 93 โครงการ มูลค่าซื้อคืนรวม15,023 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการที่เสร็จสิ้นแล้วจำนวน 9,934 ล้านบาท โดย93 โครงการ ซึ่งซื้อหุ้นคืนเสร็จแล้วจำนวน 46 บริษัท อยู่ระหว่างซื้อหุ้นคืน จำนวน 11 บริษัท ซื้อหุ้นคืนเสร็จและอยู่ในช่วงถือหุ้นไว้6 เดือน จำนวน 2 บริษัท และอยู่ช่วงขายหุ้นคืน 30 บริษัท มีมูลค่าซื้อคืนจำนวน 4,172 ล้านบาท