ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม ราคาน้ำมันยังนิ่งนอนใจไม่ได้ แถมเงินเฟ้อยังไม่ปรับลดลงในระดับที่น่าพอใจ ที่สำคัญการเมืองไทยยังไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเป็นอย่างไร อุปสรรคเหล่านี้ย่อมมีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ผู้ประกอบการบริษัทจดทะเบียนส่วนมากในตลาดหลักทรัพย์ฯยังสามารถประคองตัวได้ดี ส่งผลให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนในครึ่งปีแรกเติบโตอย่างมาก สวนทิศกับราคาหุ้นในตลาดฯ
หากดูดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวันที่ 2 มกราคมปีนี้ ซึ่งเป็นวันแรกของปีที่เปิดซื้อขาย ปิดที่ 842.97 จุด ด้วยปริมาณการขายซื้อขาย 12,990 ล้านบาท แต่หลังจากเจอกับปัจจัยลบต่างๆ นานา ดัชนีหุ้นไทยค่อยๆ ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยครึ่งแรกของปี ณ 30 มิถุนายน ดัชนีอยู่ที่ 768.59 จุด ปริมาณซื้อขาย 16,121 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ตลอดช่วงครึ่งแรกของปีนี้นักวิเคราะห์หุ้นทุกสำนักยังคงมั่นใจต่อความแข็งแกร่งของบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะผลการดำเนินงานที่จะออกมาอย่างน่าประทับใจ เหตุผลหลักๆ มาจากเศรษฐกิจยังแข็งแกร่ง เพียงแค่พวกเขาอยู่ท่ามกลางบรรยากาศอึมครึมเท่านั้น
นักวิเคราะห์หุ้นคาดการณ์ถูกต้อง เมื่อบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย(474 บริษัท) โชว์ผลการดำเนินงานงวดครึ่งแรกของปีนี้ออกมา ด้วยกำไรสุทธิรวม 312,856 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 48% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า ส่วนยอดขายรวมทำได้สูงถึง 3,796,969 ล้านบาท
ผลประกอบการโดยรวมงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน ทั้งกำไรสุทธิและยอดขาย แสดงว่าศักยภาพของภาคอุตสาหกรรมของธุรกิจในประเทศไทย ยังเข้มแข็งและมีโอกาสเติบโตอย่างต่อเนื่อง ภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย กล่าว
โดยปัจจัยสนับสนุนผลการดำเนินงานบริษัทจดทะเบียนครึ่งแรกของปีนี้ ได้แก่ กลุ่มธนาคารกำไรเติบโตขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากการกันสำรองที่ลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ การขยายตัวของสินเชื่อที่สูงกว่าคาดการณ์
เช่นเดียวกับธุรกิจด้านพลังานและปิโตรเคมี ได้รับประโยชน์จากด้านราคาผลิตภัณฑ์ที่ปรับตัวขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ เหมือนกับธุรกิจในภาคอุตสาหกรรมได้รับประโยชน์จากการปรับขึ้นราคาในช่วงที่ผ่านมา ส่งผลให้มีกำไรพิเศษจากสินค้าที่มีต้นทุนเดิมในสต๊อก ได้แก่ ธุรกิจเหล็ก เกษตร และอาหาร
ด้านธุรกิจบริการ ได้แก่ กลุ่มสื่อสาร โรงพยาบาล ท่องเที่ยว ได้รับประโยชน์จากการขยายธุรกิจในปีที่ผ่านมา การฟื้นตัวของนักท่องเที่ยว และการบันทึกรายการพิเศษ ส่วนธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับประโยชน์จากมาตรการของรัฐบาลในการลดภาษีเฉพาะช่วยกระตุ้นให้มีอุปสงค์เพิ่มขึ้น
ขณะที่กลุ่มที่มีผลประกอบการลดลงส่วนใหญ่ได้รับผลกระทบจากการต้นทุนการดำเนินงานที่ปรับสูงขึ้น หรืออุปสงค์ที่เติบโตลดลงจากผลของราคาน้ำมันที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ขนส่ง ยกเว้นกลุ่มไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบจากประเด็นอัตราแลกเปลี่ยนรวมถึงจำนวนวันหยุดซ่อมบำรุงที่ค่อนข้างสูงในช่วงครึ่งแรกปีนี้
สำหรับผลการดำเนินงานครึ่งแรกของปีนี้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) มีรายได้รวม 22,503 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า โดยมีกำไรสุทธิรวม 1,495 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 70% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนหน้า
ท่ามกลางสภาวะเศรษฐกิจและการเมืองที่ไม่แน่นอน บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ส่วนใหญ่มีกำไรเพิ่ม 70% สะท้อนถึงศักยภาพของบริษัทขนาดกลางและเล็กในการปรับตัว โดยจะเห็นได้ว่าบริษัทหลายบริษัทประสบปัญหาขาดทุนในปีที่แล้ว แต่สามารถปรับตัวพลิกเป็นกำไรสุทธิได้ในปีนี้ ชนิตร ชาญชัยณรงค์ ผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ เปิดเผย
ส่วนบริษัทที่ยังคงประสบปัญหาส่วนใหญ่อยู่ในภาคธุรกิจ สื่อและบริการ ตลอดจนธุรกิจเทคโนโลยีและการสื่อสารที่ยังคงพึ่งพิงรายได้จากภาครัฐเป็นหลัก
ปัจจัยด้านเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อการเติบโตของบริษัทจดทะเบียนในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ นักวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.นครหลวงไทย ประเมินว่ามาจากราคาน้ำมันดิบคาดว่าค่าเฉลี่ยจะลดลงจาก 112 เหรียญต่อบาร์เรลในช่วงครึ่งแรกปีนี้ โดยคาดว่าค่าเฉลี่ยปีนี้จะอยู่ที่ 100 เหรียญสหรัฐฯต่อบาร์เรล
ส่วนอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มชะลอตัวลงตามคาดการณ์โดยคาดว่าในครึ่งหลังของปีจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 7%-8% ขณะที่เศรษฐกิจโดยภาพรวมคาดว่าจะเติบโตได้เฉลี่ย 5% ด้านอัตราดอกเบี้ยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกไม่เกิน 0.50% ส่วนค่าเงินบาทคาดว่าจะอ่อนค่าลงในกรอบ 33.5-34.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ
ด้านปัจจัยสำคัญที่คาดว่าจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปีนี้อย่างมีนัยสำคัญจะมาจากสินเชื่อของธนาคารพาณิชย์มีการเติบโตชะลอตัวลง อัตรากำไรขั้นต้นของผู้ประกอบการลดลงกลับสู่ระดับปกติเนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษจากสต๊อกสินค้า
ในขณะเดียวกันธุรกิจโรงกลั่นมีความเสี่ยงที่จะเกิดผลขาดทุนจากสต๊อกน้ำมัน อัตรากำไรจากดำเนินงานของธุรกิจโดยรวมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากราคาน้ำมันที่ลดลง ธุรกิจส่งออกมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก ถึงแม้จะได้รับประโยชน์จากการอ่อนค่าของเงินบาทก็ตาม
ผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่มีกำไรสุทธิสูงสุด |
ลำดับที่ |
กลุ่ม |
กำไรสุทธิ (ล้านบาท) |
เพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน |
1. |
ทรัพยากร |
131,018 |
+25% |
2. |
ธุรกิจการเงิน |
52,828 |
+316% |
3. |
อสังหาริมทรัพย์และก่อสร้าง |
36,381 |
-8% |
4. |
วัตถุดิบสินค้าอุตสาหกรรม |
31,470 |
+132% |
5. |
เทคโนโลยี |
25,861 |
+92% |
6. |
บริการ |
21,660 |
-6% |
7. |
เกษตรและอุตสาหกรรมอาหาร |
10,670 |
+164% |
8. |
สินค้าอุปโภคบริโภค |
3,934 |
+36% |
บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่มีกำไรสูงสุด 5 อันดับแรก |
ลำดับที่ |
บริษัท |
กำไรสุทธิ (ล้านบาท) |
เพิ่มขึ้นหรือลดลงเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน |
1. |
บมจ.ยูนิค ไมนิ่ง เซอร์วิสเซส (UMS) |
240 |
+108% |
2. |
บมจ.โกลด์ไฟน์ แมนูแฟคเจอเรอส์ (GFM) |
164 |
+101% |
3. |
บมจ.เด็มโก้ (DEMCO) |
159 |
+92% |
4. |
บมจ.ยูนิมิต เอ็นจิเนียริ่ง (UEC) |
124 |
-19% |
5. |
บมจ.แอล.วี.เทคโนโลยี (LVT) |
97 |
+192% |
จากคอลัมน์ SET Corner นิตยสาร M&W กันยายน 2551