ReadyPlanet.com


เปิดบัญชรแง้มพอร์ตขาใหญ่ทำอย่างไรถึงจะรวยด้วยหุ้น


โดย ผู้จัดการรายสัปดาห์ 12 เมษายน 2550 12:02 น.
       เปิด 5 มุมมองเหล่าบรรดาขาใหญ่เซียนหุ้น ต่างคนต่างสไตล์ ชี้พื้นฐานดีเทคนิคเด่นยังเป็นสิ่งสำคัญแต่ก็อย่าเชื่อทั้งหมดเพราะของพวกนี้สร้างกันได้ ต้องเก็บข้อมูลและวิเคราะห์ประกอบอย่างละเอียด หากขาดทุนหุ้นเกิน20%ให้รีบปล่อย แนะต้องสร้างเครือข่ายเพื่อนฝูงเพื่อร่วมปรึกษาหารือ
       
        ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปีของตลาดหุ้นไทย มีผู้ที่ทำกำไรร่ำรวยจากตลาดนี้ไปก็มาก ขาดทุนอย่างแสนสาหัสไปก็ไม่น้อย ขณะที่ปัจจุบันก็ยังมีผู้คนที่หวังว่าจะเข้ามาสร้างผลตอบแทนในตลาดนี้อีกอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสาย ต่างคนก็มีสไตล์การเลือกหุ้นที่ไม่เหมือนกัน วิธีการเล่นหุ้นก็แตกต่างกันไป แต่มีเพียงสิ่งเดียวเท่านั้นที่พวกเขาเหล่านี้ต่างก็ต้องการเหมือนๆกัน นั่นก็คือ ทำอย่างไรให้ได้กำไร
       
        วิชัย วชิรพงศ์ หรือชื่อที่รู้จักกันดีในนาม "เสี่ยยักษ์" เริ่มเปิดเผยประสบการณ์และมุมมองให้ฟังว่า สไตล์การลงทุนในตลาดหุ้นนั้นนักลงทุนแต่ละคนก็มักจะมีวิธีการและเทคนิคที่แตกต่างกันไป ในบางครั้งก็อาจจะมีบ้างที่นักลงทุนรายใหญ่เข้าไปติดต่อกับทางเจ้าของบริษัทซึ่งเป็นเจ้าของหุ้นนั้นๆ หรืออาจจะเป็นในทางกลับกันคือทางเจ้าของบริษัทได้ติดต่อมาเพื่อขอให้เข้ามาเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง เพื่อดันราคาหรือขอความช่วยอื่นๆ แต่ไม่ว่าจะดำเนินการอย่างไรทั้ง 2 ฝ่ายคือนักลงทุนรายใหญ่และเจ้าของหุ้นก็จะรับรู้กันอยู่แล้ว
       
        ส่วนด้านนักลงทุนรายย่อยซึ่งมีเป็นจำนวนมาก ก็มักไม่มีโอกาสได้รับรู้หรือตามไม่ทัน ซึ่งผู้ที่สนใจจะเข้ามาเล่นหุ้นหรือเล่นอยู่แล้วควรจะใช้ความระมัดระวังและพิจารณาให้ละเอียดรอบคอบก่อนจะตัดสินใจเข้ามาลงทุนเพราะอาจจะหมดตัวได้ง่ายๆ
       
        "รูปแบบการเล่นหุ้นของแต่ละคนก็มักจะมีเทคนิคและวิธีการที่แตกต่างกันไปแล้วแต่ใครจะใช้เทคนิคอะไร แต่บางครั้งการใช้เทคนิคก็อาจจะไม่ได้ช่วยเสมอไป เพราะต้องยอมรับว่ามีหลายครั้งที่นักลงทุนรายใหญ่และเจ้าของบริษัทรับรู้กัน ติดต่อกัน เพื่อขอให้ช่วยเข้าไปดันราคาหุ้นให้สูงขึ้น หรืออาจจะมีการสร้างสตอรี่ขึ้นมาก่อนเพื่อดันราคาแล้วให้รายใหญ่เข้าไปซื้อทำให้หุ้นบริษัทดูน่าสนใจขึ้นมา ซึ่งตรงนี้นักลงทุนรายย่อยควรจะระมันระวังให้มากก่อนตัดสินใจเล่นหุ้นตัวใดตัวหนึ่ง"
       
        สิ่งสำคัญที่สุดในเกมการเล่นหุ้นนั้นก็คือการเลือกหุ้นที่พื้นฐาน ต้องศึกษาให้รู้อย่างทะลุปุโปร่งเป็นตัวๆไปเลย เพื่อจะได้รับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของหุ้นนั้นๆตลอดเวลาว่ามีสาเหตุที่ทำให้ราคาเปลี่ยนแปลง เพราะอะไรหุ้นขึ้น-ลง เพราะเหตุใดมีการเปลี่ยนชื่อ เพื่ออะไรและมุมมองในการดูหุ้นต้องพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงตามข้อมูลของห้นได้ตลอดเวลาโดยวิธีดูกราฟ(Technical) ที่เกี่ยวข้องประกอบการตัดสินใจ และต้องกล้าซื้อหุ้นในช่วงที่มีสัญญาณการปรับตัวขึ้นโดยพยายามเกาะกลุ่มสร้างเครือข่ายนักเล่นหุ้นด้วยกันเพื่อใช้ความคิดเห็นประกอบการตัดสินใจกับข้อมูลที่ได้ศึกษามา
       
        สำหรับเสี่ยยักษ์เองปัจจุบันเล่นหุ้นอยู่เพียงตัวเดียวเท่านั้น ส่วนการลงทุนในพอร์ตมีมูลค่าสูงมากซึ่งคิดว่าหลังจากนี้ไปยืนยันว่าจะเลิกเล่นแล้ว
       
        "ผมจะเลิกแล้ว คนที่เลิกเล่นหุ้นมี 2 ประเภท คือถ้าไม่ตายก็หมดตัว ส่วนผมเหลือชำระแค้นอีกตัวเดียวจากนั้นก็จะขึ้นฝั่งแล้ว"
       
        หลักเกณฑ์ในการเล่นหุ้น อันดับแรกต้องมีหุ้นในดวงใจก่อนอย่าเล่นหุ้นปั่นตามกระแส เพราะปัญหาของคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ตั้งใจจะรวยเพียงอย่างเดียว ซึ่งเป็นไปไม่ได้ต้องใจเย็นๆ สังเกตดูเมื่อราคาปิดต่อกำไรสุทธิต่อหุ้น(P/E) สูงขึ้น ก็ควรซื้อเพิ่มอีกแต่เมื่อใดที่หุ้นขึ้นแต่ปริมาณการซื้อ-ขายน้อยอาจถูกรายใหญ่ปั่นหุ้นให้แกว่งตัวได้
       
        ทั้งนี้ก่อนซื้อต้องไม่ละเลยตรวจดูที่ปริมาณการซื้อขายก่อน ส่วนหลักการขายหุ้นนั้นไม่ต้องรีบร้อนหากหุ้นมีการปรับตัวลดลงให้อดทนไว้เชื่อว่าจากนั้นจะปรับตัวขึ้นไปอีก อย่างไรก็ตามสำหรับสภาวะตลาดหุ้นไทยในปีนี้ เชื่อว่ายังอยู่ในช่วงที่มีอุปสรรคและปัญหาอยู่การลงทุนอาจจะมีความเสี่ยงแต่เชื่อว่าถ้ามีการศึกษาข้อมูลที่ดีดูจังหวะที่เหมาะสมก็สามารถทำกำไรได้ แต่ถ้าไม่มีหุ้นในดวงใจโอกาสพลาดในการเล่นหุ้นก็มีสูงเช่นกัน
       
        ด้าน นพ. ยรรยง พันธ์วงศ์กล่อม หรือ"หมอยง"มองว่า หุ้นที่น่าสนใจในปีนี้มองว่าอยู่ในกลุ่มธนาคารเป็นหลัก เพราะเป็นหุ้นทื่มีปัจจัยพื้นฐานดี และแต่ละแบงก์ก็มีอัตราการเติบโตที่แน่นอนและสูงมากรวมทั้งมีสภาพคล่องที่ดี อีกทั้งมีนักลงทุนต่างชาติเข้ามาซื้อเพราะต้องการเล่นค่าเงินซึ่งหาราคาหุ้นปรับเพิ่มขึ้นประมาณ 5% น่าจะขายได้แล้วส่วนผู้ที่ยังมีมีหุ้นในกลุ่มดังกล่าวแนะนำว่ายังไม่ควรซื้อ เพราะอาจจะมีความเสี่ยงจากนโยบายรัฐที่อาจจะมีมาตรการอื่นๆ ออกมาอีกก็ได้
       
        สำหรับพอร์ตของตนเองนั้นปัจจุบันมีหุ้นอยู่แค่ 1-2 ตัวคิดเป็นมูลค่าไม่มากนัก เพราะยึดหลักการที่ว่าเล่นหุ้นที่มีความเสี่ยงน้อยให้ผลตอบแทนสูง โดยจะพิจารณาดูจากอัตราการเติบโตด้านกำไรของบริษัทแผนการลงทุนว่าจะมีโครงการใหม่ๆ มีการขยายงานขยายสาขาออกไปได้อีกหรือไม่นอกจากนี้การเล่นหุ้นนักลงทุนจำเป็นจะต้องสร้างกลุ่มหรือเครือข่ายของตัวเองขึ้นมาต้องมีการปรึกษาหารือกันอย่างเป็นทีม
       
        ส่วนกระแสข่าวที่ว่า ตนได้เข้าคุยกับทางผู้บริหารของแต่ละบริษัทเพื่อให้ช่วยดันราคาหุ้นนั่น ยืนยันว่าโดยส่วนตัวแล้วไม่มีการกระทำดังกล่าวอย่างแน่นอน เพราะตนไม่ได้เล่นหุ้นทุกวันแต่จะเลือกในช่วงที่เหมาะสมตามวงจรของราคาหุ้นนั้นๆ แต่ก็ยอมรับว่าในวงการนี้ก็มีบ้างที่ผู้บริหารได้เรียกนักลงทุนรายใหญ่เข้าไปพูดคุย เพื่อให้ช่วยเหลืออย่างใดอย่างหนึ่ง
       
        ในทัศนะของ สมเกียรติ วงศ์คุณทรัพย์ หรือ "เสี่ยแตงโม" ให้ความเห็นว่า หลักการเล่นหุ้นของตยเองนั้นจะเน้นการลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานที่ดีประมาณ 90% โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มพลังงาน อาทิ บมจ.ปตท.( PTT) รวมถึงบริษัทในเครือของ PTT เกือบทั้งหมดรองลงมาเป็นหุ้นในกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์กลุ่มปิโตรเคมีและธนาคาร เนื่องจากกลุ่มดังกล่าวมีผลตอบแทนที่ดีและมีกำไรอย่างต่อเนื่องไม่ก้าวกระโดด ส่วนที่เหลืออีก 10% จะลงทุนในหุ้นเก็งกำไร
       
        การจะเข้าไปลงทุนในหุ้นตัวใดก็ควรจะต้องดูปัจจัยพื้นฐานก่อน เช่นดูว่ามีกำไรเติบโตอย่างสม่ำเสมอหรือไม่ มีความเสี่ยงในด้านธุรกิจเพียงใด ซึ่งจะไม่ใช้หลักการว่าราคาหุ้นยังซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าทางบัญชีและ P/E แล้วจึงเข้าไปลงทุน เพราะหากบริษัทนั้นมีพื้นฐานที่ดีจริง เหตุใดราคาหุ้นจึงไม่ปรับตัวเพิ่มขึ้นตามมูลค่าทางบัญชีและ P/E
       
        อย่างไรก็ดี ตนจะไม่เข้าไปเล่นหุ้นเก็งกำไร เนื่องจากมีความเสี่ยงสูงขณะเดียวกันก็ไม่นิยมซื้อขายในลักษณะหักกลบราคาค่าซื้อกับราคาค่าขายหลักทรัพย์เดียวกันในวันเดียวกัน(Net Settlement) หรือ หุ้นที่ลูกค้าถูกห้ามกู้ยืมเงินเพื่อซื้อหลักทรัพย์ (Margin Trading)
       
        "ผมจะซื้อหุ้นครั้งละ 4 ตัว ซึ่งจะมีทั้งหุ้นพื้นฐานและเก็งกำไรผสมกันโดยจะลงทุนประมาณ 25% ของมูลค่าการลงทุนทั้งหมดเพื่อลดความเสี่ยง ในอดีตเคยซื้อหุ้นสูงสุดต่อครั้งประมาณ 200 ล้านบาท ต่ำสุดประมาณ 2-3 ล้านบาท ปัจจุบันเปิดพอร์ตการลงทุนไว้มูลค่าประมาณ 1,000 ล้านบาท"
       
        แต่ปัจจุบันพอร์ตการลงทุนของตนเป็นศูนย์ เนื่องจากได้ทยอยขายออกก่อนเกิดรัฐประหารเนื่องจากเห็นแล้วว่าสถานการณ์ทางการเมืองเริ่มไม่นิ่ง และอาจต้องมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ทำให้จำเป็นต้องรีบล้างพอร์ตก่อนเจ็บตัวส่วนตัวมองว่าหากได้รัฐบาลชุดใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งและรัฐให้ความสำคัญกับตลาดทุนเหมือนชุดก่อนๆก็จะเริ่มกลับมาลงทุนเหมือนเดิมโดยจะมองหุ้นกลุ่มบริษัทหลักทรัพย์เป็นหลัก เพราะในอดีตเมื่อตลาดหุ้นเริ่มดีหุ้นกลุ่มดังกล่าวจะได้รับความนิยมก่อนกลุ่มอื่นๆ อย่างไรก็ดีในอดีตโดยส่วนตัวจะชอบเล่นหุ้น IPO เพราะไม่มีเจ้าของและแรงขายไม่มากแต่ปัจจุบันไม่ได้เล่นแล้ว
       
        "นโยบายหลักของผมคือเล่นหุ้นปัจจัยพื้นฐาน ถึงแม้ว่าหุ้น
       ปั่นจะได้กำไรง่าย แต่รายย่อยที่ไม่รู้เรื่องด้วยจะเจ็บตัวซึ่งในอดีตตนเองก็เคยเป็นรายย่อยที่ติดยอดดอยมาแล้ว โดยในอดีตเคยแบ่งสัดส่วนการลงทุนหุ้นเก็งกำไรไว้มากถึง 70-80% เพราะเห็นว่าได้กำไรดีแต่เมื่อทำไปสักระยะก็พบกับคำว่าขาดทุน"
       
        ด้านสไตล์ของ ธนกฤต เลิศติผา หรือ"เสี่ยส้มตำ" เล่าให้ฟังว่า กลยุทธ์ส่วนตัวคือหุ้นตัวใดมีแนวโน้มสดใสราคาจะเริ่มขยับขึ้นจะลงทุนซื้อหุ้นตัวนั้นประมาณ 70% ของพอร์ตลงทุนเพราะเป็นนักเล่นหุ้นสำหรับเก็งกำไรเท่านั้น ซึ่งส่วนใหญ่จะถือหุ้นไม่นาน หากหุ้นตัวใดยังมีแนวโน้มสดใสอาจจะถือประมาณ 4-5 เดือน แต่หากเป็นหุ้นรายเล็กหรือรายใหม่จะซื้อมาแล้วขายไปมากกว่าส่วนใหญ่จะถือเพียง 1 วันหรือไม่ก็ซื้อตอนเช้าแล้วเย็นเทขาย เนื่องจากหุ้นรายเล็กยังใหม่และยังไม่มีความแน่นอนมีความเสี่ยงสูง ดังนั้นแนะว่า ซื้อได้แต่อย่าถือนาน หากมีแนวโน้มไม่ดีให้รีบขายทันที
       
        อย่างไรก็ตาม ตนไม่เคยเล่นหุ้นปันผล เพราะชอบเล่นหุ้นสั้น แต่หุ้นปันผลต้องใช้เวลานานจึงจะได้กำไร สำหรับหลักการเล่นหุ้นจะอาศัยการดูกราฟทุกวัน โดยเฉพาะกราฟหุ้นวันศุกร์หรือกราฟสุดสัปดาห์ส่วนเทคนิคคอลก็ใช้บ้างเพื่อประกอบการตัดสินใจ เนื่องจากการที่เราจะซื้อหุ้นแต่ละตัวจะต้องใช้ระยะเวลาในการศึกษาประมาณ 1-2 เดือน เพื่อที่จะศึกษาความแน่นอนของหุ้นดังกล่าว อย่างไรก็ตามขณะนี้หุ้นก่อสร้างและกลุ่มธนาคารก็ยังเป็นที่สนใจอยู่และไปได้เรื่อยๆ รวมทั้งแนวโน้มยังไปได้ดี
       
        สำหรับผู้ที่เล่นหุ้นอยู่ในขณะนี้ เบื้องต้นอยากให้เล่นหุ้นพื้นฐานมากกว่า เนื่องจากความเสี่ยงน้อยเพราะหุ้นดังกล่าวจะเป็นที่รู้กันว่าปัจจัยด้านพื้นฐานดีและค่อนข้างมั่นคง
       
        "การแก้พอร์ตขาดทุนคือ หากหุ้นที่ซื้อลงประมาณ 20% จะรีบขายทันที โดยที่จะไม่ถือหุ้นตัวดังกล่าวแล้วหวังว่าหุ้นจะขึ้นตรงข้ามหากยังดึงดันถือไว้อาจขาดทุนมากกว่า 20%ก็ได้"
       
        คาดว่าแนวโน้มดัชนีตลาดหลักทรัพย์ฯ ในปี 2551 คาดว่าจะดีขึ้นมากกว่านี้หลังจากที่มีรัฐบาลที่เกิดจากการเลือกตั้งแล้ว เนื่องจากมีความชัดเจนทางการเมืองมากขึ้น โดยส่วนตัวเห็นว่ากลุ่มหุ้นวัสดุก่อสร้างจะเติบโตได้ดี ดังนั้นในปี 2551 กลุ่มหุ้นวัสดุก่อสร้างน่าจะถูกจับตามองมากที่สุด เนื่องจากมีพื้นฐานหุ้นดี อย่างไรก็ตาม หุ้นธนาคารก็ยังเป็นที่สนใจอยู่
       
        ขณะที่ สมพงษ์ ชลคดีดำรงกุล หรือฉายา "เสี่ยปู่" ระบุว่าการลงทุนของตนขณะนี้ในพอร์ตมีประมาณ 20 กว่าตัวมูลค่ารวมกว่า 1 พันล้านบาทซึ่งส่วนใหญ่ได้มาจากมาจากกำไรมากกว่าเงินปันผล โดยมีหลักการเล่นหุ้นคือนอกจากมองหุ้นที่มีความสนใจเป็นพิเศษแล้ว จะเน้นลงทุนระยะยาวซึ่งมีสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 80% ของพอร์ต ส่วนที่เหลือจะเป็นหุ้นเก็งกำไรทั้งนี้ยอมรับว่ามุมมองการเล่นหุ้นของตนแตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่เชื่อว่าหุ้นดีจะลงเวลาเกิดวิกฤติ
       
        "ปกติไม่ได้ดูทีกลุ่มหุ้นหรือราคาหุ้นมากนัก แต่ที่น่าสนใจลงทุนในระยะยาวน่าจะเป็นกลุ่มอาหารและอสังหาริมทรัพย์บางบริษัทที่มีผลกำไรเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทุก ปีทำให้มีความเชื่อมั่นในการลงทุนแม้วิกฤติจะทำให้กำไรลดลงบ้างแต่หลังวิกฤติผ่านไปแนวโน้มกำไรก็เพิ่มขึ้นอีกซึ่งบางตัวกำไรโตกว่า 30% ต่อปี ขณะที่ราคาหุ้นไม่ขึ้นเลยสะท้อนมูลค่าของหุ้นที่แท้จริง"
       
        สำหรับแนวโน้มตลาดหุ้นในปีนี้มองว่า SET Index จะมีการรีบาวด์ขึ้นมา ซึ่งควรเลือกการลงทุนในหุ้นพื้นฐาน เช่น กลุ่มอาหารกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ของบางบริษัทที่ถือว่าเป็นกลุ่มหุ้นที่มีความน่าสนใจลงทุนในระยะยาวมาก เนื่องจากมีการเจริญเติบโตของผลกำไรดี


ผู้ตั้งกระทู้ dr กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2007-04-17 10:44:01 IP : 58.64.89.152


[1]

ความคิดเห็นที่ 1 (713109)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-07-18 14:50:51 IP : 203.146.127.159


ความคิดเห็นที่ 2 (748461)
ผู้แสดงความคิดเห็น _ ›ำ^๖ฝขถ จ วันที่ตอบ 2007-08-24 17:08:48 IP : 203.146.127.179



[1]


Copyright © 2010 All Rights Reserved.