i-Home | i-About | i-Knowledge | i-Download | i-Webboard | i-Training | i-Gallery | i-Contact | i-FAQ |
กระทู้ ค่าเงินบาท OnShore กับ OffShore ที่น่าสนใจ | |
ผู้ตั้งกระทู้ dr :: วันที่ลงประกาศ 2007-02-12 12:13:28 IP : 125.25.138.68 |
[1] |
ความคิดเห็นที่ 1 (505116) | |
ค่าเงินบาทในตลาดไทยสำหรับคนไทย คนในตลาด ตลาดเงินบาทถูกแบ่งแยกออกเป็น 2 ตลาดอย่างเห็นได้ชัด นับตั้งแต่ต้นปี 2550 เป็นต้นมา และคงปฏิเสธไม่ได้ว่าเรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมาตรการกันเงินสำรองอันลือลั่นของ ธปท. เพราะในความเป็นจริง เรื่องหนึ่งเป็นเหตุ อีกเรื่องหนึ่งเป็นผล การที่กติกาของมาตรการดังกล่าวกำหนดให้นักลงทุนต่างประเทศจะต้องยินยอมให้ธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยกันเงินสำรองไว้เป็นจำนวนร้อยละ 30 ของจำนวนเงินตราต่างประเทศที่ต้องการนำมาแลกเป็นเงินบาท กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศไทยนั้น ทำให้นักลงทุนต่างประเทศบางรายเลือกที่จะทำธุรกรรมกับสถาบันการเงินในต่างประเทศ เพื่อจะได้ไม่ต้องถูกกันเงินสำรอง ทำให้มีการค้าขายเงินบาทระหว่างนักลงทุนต่างประเทศและสถาบันการเงินต่างประเทศด้วยกันเองในตลาดต่างประเทศ ( เช่น สิงคโปร์) อยู่จำนวนหนึ่ง ในขณะที่คนไทยก็เลือกที่จะค้าขายเงินบาทกันในประเทศเพราะได้ราคาดีกว่า การมีตลาดเงินบาท 2 ตลาด จึงได้เกิดขึ้น จะเรียกว่าแยกเป็น ตลาดไทย กับตลาดฝรั่ง ก็ไม่ผิดนัก ค่าเงินบาทในแต่ละตลาดก็ถูกกำหนดโดยปริมาณความต้องการซื้อ-ขายในตลาดนั้นๆ เพราะ ความต้องการทั้ง 2 ด้าน ไม่ก้าวข้ามพรมแดนไปทำธุรกรรมในอีกตลาดหนึ่ง ด้วยผลของมาตรการและความแตกต่างกันของราคา ในช่วงระยะเวลากว่า 1 เดือนที่ผ่านมา ความต้องการซื้อและความต้องการขายเงินบาทในตลาดไทยค่อนข้างสมดุล ทำให้ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวไม่มากนักในแต่ละวัน แต่ในตลาดฝรั่งไม่ได้เป็นอย่างนั้น ความต้องการขายดอลลาร์ รับบาท ไม่ว่าจะเพื่อเหตุผลใดๆ มีมากกว่าความต้องการซื้อดอลลาร์มาตั้งแต่ต้น ทำให้ เงินบาทในตลาดฝรั่งแพงกว่าในตลาดไทยอยู่เล็กน้อยเป็นปกติ ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ความไม่สมดุลของความต้องการซื้อและความต้องการขายในตลาดฝรั่งเพิ่มขึ้นมาก จนทำให้ค่าเงินบาท ในตลาดฝรั่งแข็งกว่าในตลาดไทยมากกว่า 2 บาทและทำให้คนไทยหลายคนโดยเฉพาะผู้ส่งออกก็พลอยตกอกตกใจไปกับฝรั่งเขาด้วย ทั้งๆ ที่เป็นตลาดของเขาแท้ๆ ถ้าตกใจแล้วอยู่เฉยๆ ก็คงไม่เป็นไร แต่ถ้ามีปฏิกริยาตอบสนอง โดยเร่งขายดอลลาร์ออกมาเพราะคิดว่าค่าเงินบาทในตลาดไทยจะต้องปรับแข็งขึ้นตาม ก็เท่ากับคนไทยด้วยกันเองเป็นผู้ทำให้เกิดความไม่สมดุล เงินบาทก็จะแข็งค่าขึ้นอย่างที่คิด เข้าใจว่าในช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ปฏิกริยาตอบสนองอย่างที่ว่าคงมีปริมาณมากพอสมควร จนตลาดไทยกระเพื่อมไปเหมือนกัน การแบ่งแยกตลาดและความแตกต่างของค่าเงินบาทใน 2 ตลาดตามที่กล่าวมาข้างต้น เป็นเรื่องที่ผู้ที่มีธุรกิจเกี่ยวข้องกับเงินตราต่างประเทศจะต้องทำความเข้าใจให้ดี สำหรับคนไทย ไม่ว่าจะเป็นผู้ส่งออก ผู้นำเข้า ผู้ที่***้ยืมเงินจากต่างประเทศ ผู้ที่ลงทุนในต่างประเทศ รวมทั้งผู้ที่มีรายได้ รายจ่ายเป็นเงินตราต่างประเทศ ค่าเงินบาทที่มีผลกระทบต่อท่าน คือค่าเงินบาทในตลาดไทยเท่านั้น และค่าเงินบาท ใน 2 ตลาด เคลื่อนไหวเป็นอิสระต่อกันด้วยผลของมาตรการของธปท. พูดง่ายๆ ก็คือ การแข็งค่าหรืออ่อนค่าของเงินบาทในตลาดหนึ่ง ไม่เป็นเหตุปัจจัยให้ค่าเงินบาทในอีกตลาดหนึ่งต้องเคลื่อนไหวตามไปด้วย ด้วยสภาพการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่นี้ การทำความเข้าใจและเลือกใช้ข้อมูลที่ถูกต้องเป็นเรื่องที่จำเป็น ไม่อย่างนั้น ก็มีแต่จะเสียกับเสีย ทั้งส่วนตัวและส่วนรวม (จะเสียอะไรบ้าง ลองคิดดูนะครับ) หากไม่แน่ใจ ก็ขอให้ติดต่อสอบถามจากธนาคารพาณิชย์ ก่อนที่จะตัดสินใจทำธุรกรรมใดๆ นอกจากนั้น หากสื่อไทยทุกประเภท จะร่วมด้วยช่วยกันนำเสนอข้อมูลค่าเงินบาทจากตลาดไทยเท่านั้น ก็จะช่วยพี่น้องร่วมชาติได้มาก ค่าเงินบาทในตลาดไทยสำหรับคนไทยครับ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น dr วันที่ตอบ 2007-02-13 16:45:52 IP : 125.25.136.218 |
ความคิดเห็นที่ 2 (505120) | |
ค่าเงินบาทอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่ผ่องเพ็ญ เรืองวีรยุทธ ท่านที่ติดตามค่าเงินบาทจากหน้าจอของบริษัทขายบริการข่าวสารทางการเงินในช่วงนี้ อาจจะรู้สึกแปลกใจว่าค่าเงินบาทเทียบกับดอลลาร์เปลี่ยนแปลงขึ้นลงวันละหลาย ๆ ครั้ง บางครั้งเผลอหน่อยเดียวค่าเงินบาทแข็งขึ้นตั้ง 2 บาท เผลออีกหน่อย ก็กลับลงมาอยู่ที่เดิม อย่างเช่นเมื่อวานนี้ ดูเผินๆ จะเห็นว่าค่าเงินบาทจะวิ่งขึ้น-ลงอยู่ระหว่าง 34.40 ถึง 35.80 บาทต่อดอลลาร์ หลายท่านอาจจะคิดว่าค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนยิ่งกว่าเก่า หรือบางท่านอาจสงสัยว่าค่าเงินบาทที่ถูกต้องคือเท่าไหร่กันแน่ วันนี้เราลองมาหาคำตอบของคำถามทั้ง 2 ข้อนี้กัน คำตอบที่สั้นและตรงประเด็นก็คือ ค่าเงินบาท 2 ตัวนี้มาจากคนละตลาด อ่านคำตอบนี้แล้วก็ต้องถามต่อว่า เหตุใดจึงมีมากกว่า 1 ตลาด และเหตุใดค่าเงินบาทใน 2 ตลาดนี้จึงแตกต่างกัน ทั้ง ๆ ที่ในช่วงก่อนหน้า ไม่ว่าใครจะซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินบาทกับเงินดอลลาร์ที่กรุงเทพฯ หรือที่ สิงคโปร์หรือแม้แต่ที่ลอนดอน ก็ใช้อัตราเดียวกัน เรื่องนี้เกี่ยวข้องโดยตรงกับมาตรการกันเงินสำรองของแบงค์ชาติ ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 19 ธันวาคม เป็นต้นมา ต้นเรื่องก็คือ นักลงทุนต่างชาติส่วนหนึ่งอยากจะค้าขายเงินบาทด้วยกันเอง ไม่ว่าจะเป็นเพราะความคุ้นเคยที่ค้าขายด้วยกันมาก่อนหรือเพราะต้องการหลีกเลี่ยงการถูกกันเงินสำรองร้อยละ 30 จึงเกิดมีตลาดเงินบาทในกลุ่มนักลงทุนต่างชาติขึ้น ตลาดที่ใหญ่ที่สุดก็อยู่ที่ สิงคโปร์ ค้าขายกันเองมาร่วมเดือน ปรากฎว่าค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศก็แข็งขึ้นมาเรื่อย ๆ เพราะมีคนอยากซื้อเงินบาทมากกว่าคนอยากขาย อีกทั้งปริมาณเงินบาทที่มีอยู่ในมือของนักลงทุนต่างชาติก็มีอยู่จำกัดเนื่องจากผลของมาตรการ ส่วนตลาดในประเทศ ก็ยังค้าขายกันเป็นปกติ เงินบาทแม้ว่าจะแข็งค่าขึ้นบ้าง แต่ก็ไม่มากนักและค่าเงินบาทที่แตกต่างกันใน 2 ตลาดทำให้ผู้ส่งออกไทยเลือกที่จะขายดอลลาร์กับธนาคารพาณิชย์ในประเทศเพราะได้ราคาดีกว่า การแบ่งแยกเป็น 2 ตลาด จึงเกิดขึ้นอย่างชัดเจน และอย่างที่กล่าวไว้ตอนต้น เมื่อวานนี้ค่าเงินบาทใน 2 ตลาดต่างกันกว่า 1 บาท ดังนั้น ที่ท่านเห็นค่าเงินที่ 34.40 บาทในวินาทีนี้ และเปลี่ยนเป็น 35.80 ในวินาทีต่อมา ก็เนื่องจากเป็นค่าเงินที่มาจากคนละตลาด ไม่ใช่จากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินบาทในช่วงเวลานั้น ๆ หลายคนในตลาดเชื่อกันว่าค่าเงินบาทในตลาดต่างประเทศจะต่างจากค่าเงินบาทในประเทศจนกว่า ธปท. จะยกเลิกมาตรการกันเงินสำรอง เพราะถึงตอนนั้น เงินบาทก็จะซื้อขายกันในราคาเดียวกันเหมือนเดิม ดังนั้น คนไทยที่มีธุรกิจเป็นเงินตราต่างประเทศจะต้องแยกแยะให้ออกว่าราคาไหนเป็นราคาที่ถูกต้อง วันก่อน นั่งดูข่าวโทรทัศน์ ก็ยังเห็นการรายงานค่าเงินบาทโดยใช้ราคาในตลาดต่างประเทศ ซึ่งก็แสดงว่ายังมีความเข้าใจในเรื่องนี้ไม่ถูกต้อง ดังนั้นผู้ใช้ข้อมูลค่าเงินบาทจากสื่อต่างๆ ก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังและตรวจสอบให้แน่ชัดก่อนนำไปใช้ | |
ผู้แสดงความคิดเห็น dr วันที่ตอบ 2007-02-13 16:47:11 IP : 125.25.136.218 |
ความคิดเห็นที่ 3 (713146) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น _ำ^๖ฝขถ
จ วันที่ตอบ 2007-07-18 14:55:21 IP : 203.146.127.159 |
ความคิดเห็นที่ 4 (748457) | |
ผู้แสดงความคิดเห็น _ำ^๖ฝขถ
จ วันที่ตอบ 2007-08-24 17:08:44 IP : 203.146.127.179 |
[1] |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 610419 |