i-Home | i-About | i-Knowledge | i-Download | i-Webboard | i-Training | i-Gallery | i-Contact | i-FAQ |
บทวิเคราะห์ "เกิดอะไรขึ้นกับตลาดหุ้น" จาก บลจ. บัวหลวง โดย คุณวรวรรณ ธาราภูมิ | |
เกิดอะไรกับตลาดหุ้น วรวรรณ ธาราภูมิ นายกสมาคมบริษัทจัดการลงทุน CEO บลจ. บัวหลวง จำกัด 11 มิย 54 SET Index ปิดในวันศุกร์ที่ 1,020.37 จุด เพิ่มขึ้น 3.52 จุด หรือ 0.35% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 21,885 ล้านบาท เป็นการฟื้นตัวติดต่อกันเป็นวันที่สอง หลังจากที่ร่วงลงติดต่อกัน 7 วัน ซึ่งเป็นการลดลงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลกที่ถูกกดดันจากสัญญาณการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก วิกฤตหนี้สาธารณะในยุโรป และความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศ ปัจจัยที่ต่างชาติขายหุ้น มี 2 ประเด็น 1. ภาพรวมการลงทุนของตลาดหุ้นทั่วโลกยังไม่ดีนัก จากความกังวลเรื่องภาวะเศรษฐกิจโลก ü การที่ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยอมรับว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงมากกว่าที่คาด ประกอบกับการหมดลงของโครงการ QE2 ของสหรัฐในสิ้นเดือนนี้ ส่งผลให้ตลาดหุ้นมีความเสี่ยงขาลง นักลงทุนทั่วโลกจึงกังวลว่าเศรษฐกิจสหรัฐอาจจะกลับเข้าสู่ความอ่อนแออีกครั้ง จึงลดการลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงลง เช่น หุ้น และกลับเข้าสู่สินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงต่ำแทน เช่น พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐ ทำให้ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลดลงและส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นทั่วโลกü ฟิทช์ จะปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของหลักทรัพย์ทั้งหมดของกระทรวงการคลังสหรัฐลงสู่ขั้น "ขยะ" (Junk) หรือ "ต่ำกว่าระดับน่าลงทุน" (Investment Grade) หากรัฐบาลสหรัฐผิดนัดชำระหนี้ภายในวันที่ 15 ส.ค. และแม้ว่าจะชำระหนี้ได้ในเวลาต่อมาซึ่งจะได้ปรับอันดับความน่าเชื่อถือให้สูงขึ้นอีก แต่อาจจะไม่กลับขึ้นไปสู่อันดับ AAA เหมือนเดิมü นายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานธนาคารกลางสหรัฐ สาขาเซนต์หลุยส์ ระบุว่า การผิดนัดชำระหนี้ของสหรัฐจะส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อตลาดโลกü นักวิเคราะห์อาวุโสของมูดี้ส์กล่าวว่า อังกฤษเผชิญความเสี่ยงที่จะสูญเสียอันดับความน่าเชื่อ ถือที่ AAA ถ้าหากเศรษฐกิจยังคงอ่อนแอ และรัฐบาลไม่สามารถบรรลุเป้าการลดหนี้ได้ü ไอเอ็มเอฟระบุว่ารัฐบาลญี่ปุ่นควรปรับขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จาก 5% เป็น 7% หรือ 8% ตั้งแต่ปีหน้าเพื่อนำเงินไปฟื้นฟูบูรณะประเทศ และควรปรับขึ้นต่อไปสู่ระดับ 15% เพื่อลดภาระหนี้สาธารณะในระยะยาวü ปัญหาของประเทศในกลุ่มอียูบางประเทศ เช่น กรีซ ยังคงกดดันü ฯลฯ2. ความกังวลเรื่องความสงบภายในประเทศไทยหลังการเลือกตั้ง ü นักลงทุนต่างชาติกังวลต่อสถานการณ์ทางการเมืองไทยหลังการเลือกตั้ง เมื่อต้องลดพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง เช่นหุ้นแล้ว จึงลดการลงทุนในสินทรัพย์ไทย ทั้งในรูปของหุ้น และตราสารหนี้ ในช่วงเดือน พ.ค.ที่ผ่านมา มีการขายรวมแล้วประมาณ 7.4 หมื่นล้านบาท แบ่งเป็นการขายพันธบัตรในตลาดตราสารหนี้ 5.7 หมื่นล้านบาท และขายหุ้น 1.7 หมื่นล้านบาท แต่มีข้อสังเกตุว่าเพิ่งนำออกไปเพียง 3 หมื่นกว่าล้านบาทเท่านั้นü Goldman Sach, เครดิตสวิสกรุ๊ปเอจี และนักวิเคราะห์ต่างชาติบางราย ออกบทวิเคราะห์แนะนำให้นักลงทุนชะลอการลงทุนในตลาดหุ้นไทยหรือลดน้ำหนักการลงทุนลง เนื่องจากความเสี่ยงทางการเมืองมีอยู่สูงภายหลังการเลือกตั้งคำแนะนำในการลงทุน ทุกครั้ง ในภาวะที่ตลาดหุ้นผันผวน ไม่ว่าจะขึ้นหรือลง ขอให้นึกไปถึงปัจจัยพื้นฐานของประเทศไทย อย่าตื่นตระหนกหรือฮึกเหิมจนทำให้ตัดสินใจผิดพลาด สังคมไทยในวันนี้เป็นสังคมที่เสพย์ข่าวสารและมักคล้อยตามโดยในบางครั้งจะลืมคิดถึงความจริงลองมาพิจารณาข้อมูลด้านอื่นๆ บ้าง ü ธนาคารโลก ชี้ว่าการขยายตัวในประเทศส่วนใหญ่ของเอเชียจะชะลอลงในปีนี้ รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจในประเทศที่พัฒนา สำหรับเศรษฐกิจของประเทศไทยคาดว่าจะขยายตัว 3.7% ในปีนี้ โดยชะลอตัวลงจาก 7.8% ในปีที่แล้ว (ซึ่งมีฐานการเติบโตจากปี 2552 ที่ติดลบ จึงขยายตัวสูงถึง 7.8% ในปี 2553) แต่จะขยายตัวเพิ่มขึ้นสู่ 4.2% ในปีหน้า และ 4.3% ในปี 2556 ü ธปท. มองว่าสถานการณ์ที่ต่างชาติขายหุ้นและตราสารหนี้ในไทยน่าจะเกิดเพียงชั่วคราว หลังการเลือกตั้งชัดเจนก็น่าจะกลับมาลงทุนอีกü ปลัดกระทรวงการคลัง มองว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในระดับแข็งแกร่ง ซึ่งเห็นได้จากช่วง 5 เดือนที่ผ่านมานั้นการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มและการส่งออกในทุกสาขายังขยายตัวได้ดีü เดือน พ.ค. รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิสูงกว่าเป้า 18% โดยเก็บภาษีเงินได้นิติบุคคลจากกำไรสุทธิที่สูงกว่าเป้าหมายมาก ส่งผลให้ในช่วง 8 เดือนแรกของปีงบประมาณ 2554 จัดเก็บรายได้สูงกว่าเป้าหมายเกิน 1.7 แสนล้านบาทแล้วü บอร์ดบีโอไอไฟเขียวส่งเสริมลงทุน 9 โครงการ มูลค่ากว่า 2 หมื่นล้านบาท ขณะที่ยอดคำขอรับส่งเสริม 5 เดือนแรกทะลุ 2 แสนล้านบาทü ผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน พ.ค. อยู่ที่ 71.1 เพิ่มขึ้นจาก 70.5 ใน เม.ย. เป็นการเพิ่มขึ้นครั้งแรกในรอบ 4 เดือนü นายธนินทร์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการ ซีพี กล่าวว่า พื้นฐานเศรษฐกิจไทยในปัจจุบันมีความแข็งแกร่งมากที่สุดตั้งแต่ทำธุรกิจซีพีมา 47 ปี และมีแนวโน้มจะเติบโตได้มากในเวทีโลกภายใต้เงื่อนไขการเมืองนิ่ง ไม่มีสีเหลืองสีแดง และต้องมีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายบริหารงานที่ชัดเจนü ตลาดหลักทรัพย์ฯ ชี้ว่าปัจจัยพื้นฐานการลงทุนในตลาดหุ้นไทยยังดีอยู่จากการที่บริษัทจดทะเบียนไทยมีกำไรสุทธิเติบโตสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของประเทศในแถบภูมิภาคนี้ โดยเติบโตถึง 30% ในไตรมาสแรกปีนี้เทียบกับปีก่อน ขณะที่ผลสำรวจของบลูมเบิร์กคาดว่าจะโต 20% นอกจากนี้ ผลตอบแทนจากเงินปันผลก็ดีที่สุดในภูมิภาคอย่าลืมว่าปัจจัยพื้นฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะใช้พิจารณาว่าอะไร ที่ไหน น่าลงทุน ลองกลับมาทบทวนเบื้องหลังความสำเร็จของนักลงทุนระดับโลกผู้เป็นตำนานกันบ้าง Benjamin Graham บิดาแห่งการลงทุนแบบ Value Investment บอกว่านักลงทุนผู้ชาญฉลาด ไม่ได้หมาย ความว่าต้องมีไอคิวหรือมีการศึกษาสูง แต่หมายถึงต้องอดทน มีวินัยในการลงทุน ขวนขวายหาความรู้อยู่เสมอ ศึกษาทำความเข้าใจกิจการที่สนใจอย่างละเอียด มีความรอบคอบก่อนที่จะตัดสินใจซื้อหุ้น และควบคุมอารมณ์ไม่ให้เหนือเหตุผลได้ดี เขาบอกว่า ในระยะสั้นราคาหุ้นจะขึ้นหรือลงนั้นจะขึ้นอยู่กับการตัดสินใจซื้อขายของผู้เล่น ถ้าคนเชื่อและลงความเห็นว่ามันจะขึ้นมากกว่าคนที่คิดว่ามันจะลง ราคาหุ้นก็จะขึ้นตามการ "ลงคะแนน" ของนักลงทุน แต่ในระยะยาวนั้นราคาหุ้นจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท ถ้ามีกำไรมาก ตลาดก็จะให้ราคาหุ้นสูงขึ้นตามกำไรหรือน้ำหนักนั้นWarren Buffet บอกให้เราเลือกลงทุนในหุ้นของบริษัทที่ดี ในราคาที่เหมาะสม และถือมันตราบที่มันยังเป็นกิจการที่ดีอยู่ เวลาจะซื้อหุ้นก็ให้ดูก่อนว่ามันเป็นกิจการที่ดีหรือเปล่า ถ้าไม่ดีอย่าซื้อ ถ้าดีก็ต้องดูว่าราคาหุ้นในขณะนั้นเหมาะสมหรือไม่ ถ้าแพงอย่าซื้อ ถ้าถูกค่อยซื้อ (นี่คือรากฐานของแนวคิด Good Stock + Good Trade = Good Performance ของ บลจ.บัวหลวง) นอกจากนี้ยังแนะนำให้เก็บหุ้นไว้ไม่ต้องคิดว่าจะขายแม้ว่าราคาหุ้นจะขึ้นหรือตก ให้ขายต่อเมื่อกิจการเริ่มไม่ดีแล้ว และให้เรากลัวเมื่อคนอื่นกำลังโลภ และให้เราโลภเมื่อคนอื่นกำลังกลัว เพราะในช่วงที่ตลาดดีมาก การกลัวเมื่อคนอื่นโลภจะช่วยให้เรารอดจากหายนะได้แต่ในยามวิกฤติที่ทุกคนกลัวและถอนตัวออกจากตลาด มันก็ยากมากที่เราจะรู้สึกโลภ Peter Lynch เปิดเผยความสำเร็จในการลงทุนว่า ไม่ต้องไปสนใจการขึ้นลงของตลาด ให้ใช้เหตุผลในการซื้อขายเท่านั้น เพราะราคาหุ้นกับกำไรจะไปด้วยกันเสมอในระยะยาว และหากราคาหุ้นแยกออกไปจากกำไร ไม่ช้ามันจะวิ่งกลับไปหาเส้นกำไร อย่ากลัวเวลาราคาหุ้นตกหากกำไรของบริษัทยังดีอยู่ ยิ่งหุ้นลงยิ่งเป็นโอกาสซื้อ เพราะไม่ช้าราคาหุ้นจะวิ่งกลับมาตามกำไร และถ้าราคาหุ้นวิ่งขึ้นไปเกินกำไรที่เพิ่มขึ้น ราคาหุ้นก็จะปรับตัวลงมาหาเส้นกำไรJesse Livermore ผู้เป็นตำนานของนักเก็งกำไรใน Wall Street บอกว่า ตลาดหุ้นเป็นอันตรายต่อคนที่ขี้เกียจ คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด เพราะการเก็งกำไรไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ทำให้คนรวยได้ในชั่วข้ามคืน และนักเก็งกำไรที่จะประสบความสำเร็จต้องทำงานหนักและ "ฉลาด"ทบทวนเบื้องหลังความสำเร็จของกูรูด้านการลงทุนกันแล้ว ก็อย่าลืมทฤษฎีที่เป็นจริงที่สุดที่ว่า เงิน ต้องมีที่ไปในเมื่อประเทศตะวันตกเช่น สหรัฐอเมริกา และยุโรป ยังไม่พ้นจากปัญหาที่จะฟื้นฟูเศรษฐกิจและหนี้สิน คนที่เขามีเงิน ผู้จัดการกองทุนที่บริหารเงินมหาศาลทั่วโลกจะทำอย่างไร ในเมื่อต้องบริหารเงินของผู้ลงทุน เงินจึงต้องไหลไปในที่ที่คาดว่าจะให้ผลตอบแทนที่พอใจและเหมาะสมกับความเสี่ยง หากมองว่าทั้งโลกแย่แล้ว ลงทุนหุ้นก็เสี่ยงสูงไปในภาวะที่ไม่แน่นอน ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลไม่ว่าประเทศไหนก็เสี่ยงว่ารัฐบาลประเทศนั้นๆ จะไม่สามารถใช้คืนหนี้พันธบัตรที่เราไปลงทุนได้ เงินจะไหลไปไหน หากเป็นประเด็นข้างต้น ลงทุนในอะไรที่ประเทศไหนก็น่ากลัวทั้งนั้น เงินจะไหลไปอยู่ในสินทรัพย์ที่เสี่ยงน้อยที่สุดในภาวะการณ์นั้น ซึ่งก็น่าจะเป็น ทองคำ (Safe Heaven) แต่หากยังมีประเทศที่เศรษฐกิจยังไปได้ มีอัตราการเติบโต เดี๋ยวเดียวเงินที่ไหลไปก็จะไหลกลับมา ประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ (Emerging Market หรือ EM) ยังมีปัจจัยพื้นฐานที่ดีอยู่ และมีอัตราการเติบโตที่ใช้ได้ โดยเฉพาะในเอเชีย แม้จะมีความเสี่ยงอยู่บ้างจากอัตราเงินเฟ้อ เราน่าจะชินกับสถานการณ์ความไม่สงบทางการเมืองกันแล้ว ที่อยู่รอดมาได้ก็เพราะนักธุรกิจไทยทำงานกันอย่างหนัก จนส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของเรา และเดี๋ยวนี้เขาก็ออกมาโหมโรงต่อต้านคอร์รัปชั่นกันแล้วด้วย รากฐานของนักธุรกิจเหล่านี้อยู่ในประเทศไทย เขาไม่ปล่อยให้ประเทศพังแน่ เพราะเขาจะพังไปด้วย ดังนั้น อย่าไปกลัวมากเกินไปกับนโยบายประชานิยมทั้งหลายที่เรากำลังห่วงกันว่าจะทำร้ายประเทศไทยในระยะยาว หรือจะทำให้เงินเฟ้อจนควบคุมไม่ได้ ทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ข้าราชการกระทรวงการคลัง และพวกเราจะส่งสัญญาณเตือนไปยังรัฐบาลใหม่อย่างแน่นอนหากมีแนวโน้มในทางลบมากเกินไป นอกจากนี้ นโยบายเศรษฐกิจบางนโยบายของพรรคการเมืองต่างๆ ก็ดูจะดีต่อประเทศ หากมองอย่างไร้อคติ เชื่อไหม หากจะบอกว่า สักวันหนึ่งไม่นานนัก ไม่น่าจะเกิน 2 ปี ทุกคนจะเหนื่อยและคิดได้เราเหนื่อยกันมาหลายปีแล้ว กีฬาแข่งกันยังมีเวลาเลิก จึงเชื่อว่าบ้านเมืองคงจะอยู่กันแบบที่ผ่านมานี้ได้อีกไม่เกิน 2 ปี แล้วก็จะกลับเข้ามาอยู่ในวิถีที่ควรจะเป็นจะอยู่ร่วมกัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อประเทศไทยที่มีตำแหน่งที่ตั้งที่ได้เปรียบและเป็นศูนย์กลางของประเทศต่างๆ ในภูมิภาคนี้ ขอเพียงแต่ให้เรามีผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และเป้าหมายบริหารงานที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติเท่านั้นเอง ล่าสุด ตอนนี้กองทุนในประเทศก็เริ่มซื้อหุ้นแล้ว หลังจากที่ดัชนีหุ้นไทยปรับลดลงไปมาก โดยน่าจะมองกันว่าปัจจัยลบต่างๆ ได้สะท้อนไปในราคาหุ้นที่ลดลงไปมากแล้วหากอ่านถึงตรงนี้แล้วยังกลัว ไม่กล้าลงทุนในช่วงที่คนอื่นกลัว ก็ขอให้กลับไปอ่านใหม่ตั้งแต่ต้น และทำความเข้าใจที่ 4 กูรูต่างประเทศผู้ประสบความสำเร็จในการลงทุนชั้นเทพเขาแนะนำอีกที แต่หากอ่านแล้วก็ยังไม่กล้า หัวใจไม่เข้มแข็งพอ ก็จะบอกว่าเราคงไม่เหมาะกับหุ้น เพราะลงทุนไปแล้วนอนไม่หลับหากซื้อหุ้นหรือกองทุนหุ้นแล้วราคามันตก ขาดทุน เมื่อเป็นแบบนั้น ก็อย่าไปยุ่งกับหุ้น แค่ฝากเงินหรือซื้อกองทุนพันธบัตรก็พอแล้ว ถึงได้ผลตอบแทนน้อยหน่อย แม้จะแพ้เงินเฟ้อ แต่เราหัวถึงหมอนนอนหลับสบาย มันก็น่าจะเหมาะสมกว่า เพราะความเข้มแข็งของหัวใจกับความอดทนของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ก็เงินของเราเอง เราถึงต้องตัดสินใจเอง ไม่มีใครมาการันตีให้เราได้หรอก | |
ผู้ตั้งกระทู้ dr_morky (dr_morky-at-hotmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2011-06-15 15:47:23 IP : 172.31.166.12 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 611350 |