ReadyPlanet.com


สง่า ตั้งจันสิริ'..เล่นหุ้นปี54 ซื้อแล้ว 'ถือ' เวิร์คสุด


การเงิน - การลงทุน : ถนนนักลงทุน
วันที่ 26 มกราคม 2554 01:00"
สง่า ตั้งจันสิริ"..เล่นหุ้นปี54 ซื้อแล้ว "ถือ" เวิร์คสุด
โดย : กรุงเทพธุรกิจออนไลน์


สถานการณ์เปลี่ยน..วิธีคิดเปลี่ยน "สง่า ตั้งจันสิริ" เล่นหุ้นตัวใหญ่ ซื้อแล้ว "ถือ" กำไร 30-40% เล่นสั้นก็ได้เท่านี้เหมือนกัน

เป็นหลายชาย ไกรสร จันศิริ ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง บริษัท ไทยยูเนี่ยน โฟรเซ่น โปรดักส์ จำกัด (มหาชน) หรือ TUF และเป็นญาติผู้น้องของ ธีรพงศ์ จันศิริ สร้างแรงกดดันให้ "นิค" สง่า ตั้งจันสิริ อยู่ไม่น้อยเพราะการทะยานขึ้นของหุ้น TUF ในรอบปี 2553 ที่ผ่านมา "นิค" ถูกเหมารวมว่าเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการทะยานขึ้นของราคาเขา "แหยง" กับคำว่า "เซียนหุ้น" หรือ "เซียนนิค" เป็นที่สุด  

"ตั้งแต่ชื่อผมปรากฏในหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ BizWeek (เมื่อ 14 กันยายน 2552) ทุกคนก็เข้าใจว่าผมเป็น “เซียนหุ้น” ใครต่อใครพากันเรียก “เสี่ยนิค” ผมไม่ค่อยปลื้มเท่าไรเพราะไม่ได้เป็นกูรู ยิ่งตอนหุ้น TUF ปรับตัวขึ้นเพื่อนลุง (ไกรสร) ก็โทรมาถามลุงว่าให้หลานทำหุ้นให้เหรอ ผมเลยเซ็งไปเลยแถมโดนลุงดุอีกต่างหาก" นิคกลายเป็น "แพะ" โดยไม่ตั้งใจเขาจึงไม่คุ้นและปฏิเสธคำว่า "เซียน"

นิคเปิดตัวครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคมปี 2552 ด้วยพอร์ตหุ้นมูลค่า 50 ล้านบาท จากจุดเริ่มต้นเงินก้อนแรกเพียง 500,000 บาท ก๊วนเพื่อนที่สนิทและอยู่ในวงการเล่นหุ้นกลุ่มเดียวกันก็มี "ก๋อย" ยุทธพงษ์ เสรีดีเลิศ เซียนหุ้นร้อยล้าน และ "แซน" พนมกร ตังทัตสวัสดิ์ ดาวร้ายในละครดวงใจอัคนี ฯลฯ

วันนี้ด้วยวัย 34 ปี ความคิดความอ่านของนักลงทุนรายนี้แอดวานซ์ล้ำหน้าไปอีกขั้น ช่วงตลาดหุ้นขาขึ้นในปี 2553 พอร์ตลงทุนของนิคส่วนใหญ่เน้นเล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น 30-40% หุ้นตัวไหนที่ "ฮอตฮิต" ของตลาดเขาไม่ยอมตกขบวนรถไฟเลยสักครั้ง โดยเฉพาะหุ้นใหม่ IPO ที่นิคขึ้นชื่อว่า "เคยเป็นเจ้าของ" (ชั่วประเดี๋ยว) มาแล้วเกือบทุกตัว ส่วนการลงทุนระยะกลางและยาว นักเล่นหุ้นรายนี้จะแบ่งพอร์ตออกเป็นฝั่งละประมาณ 30% 

"ในปี 2554 ผมจะเปลี่ยนกลยุทธ์การลงทุนใหม่จาก "กล้าได้กล้าเสีย" มาเป็น “อนุรักษนิยม” มากขึ้น ตอนนี้ผมรู้ซึ้งแล้วไม่ว่าจะเล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้น เล่นระยะกลางหรือถือยาวก็ได้กำไรพอๆ กัน ปีนี้จึงตั้งใจจะปรับลดน้ำหนักการลงทุนระยะสั้นแล้วหันมา "ถือ" ระยะปานกลางและยาวมากขึ้น"

หลังจากสรุปบัญชีการลงทุนของตนเองรอบล่าสุดเขาพบว่าเล่นหุ้นตัวใหญ่ (บิ๊กแคป)  "ซื้อแล้วถือ" ได้ผลตอบแทน 30-40% เล่นหุ้นเก็งกำไรระยะสั้นก็ได้เท่านี้เหมือนกัน จึงมานั่งคิดว่าในเมื่อผลตอบแทนมันไม่แตกต่างกันแล้วทำไม!จะต้องมานั่งดูหุ้นทุกๆ 15 นาทีให้ปวดหัวเปล่าๆ สู้เอาเวลาไปทำธุรกิจอย่างอื่นดีกว่า 

เมื่อได้ค้นพบทางสว่างเช่นนี้แล้วนิคจึงกลับมาดู Asset Allocation ของตัวเองใหม่ และประเมินความเสี่ยงของตลาดหุ้นปีนี้ "มีเพิ่มขึ้น" ปีที่แล้ว (2553) เล่นเก็งกำไร 30-40% ของพอร์ต ปีนี้จะเก็งกำไรลดลงเหลือ 10-20% ของพอร์ต แล้วเพิ่มน้ำหนักลงทุนระยะปานกลางเพิ่มขึ้นจาก 30% เป็น 50% ส่วนการลงทุนระยะยาวก็คงไว้เท่าเดิมราวๆ 30%

นอกจากนี้  ในพอร์ตรวมจะลดน้ำหนักการลงทุนในตลาดหุ้นลงจาก 50% เหลือ 40% แล้วตั้งใจว่าจะค่อยๆ สะสมการลงทุนในทองคำให้ได้ 20% ของพอร์ต นี่คือแผนการลงทุนที่นิควางเอาไว้ เขาบอกว่าหากไม่มีอะไรผิดพลาดในปี 2554 ตั้งเป้าผลตอบแทน (กำไร) จากการลงทุนเฉลี่ยไว้ที่ 40% ซึ่งต่ำกว่าปี 2553 ที่ได้กำไร 50-60% ส่วนมูลค่าพอร์ตลงทุนปีนี้ก็คงไว้เท่าเดิมที่ 50 ล้านบาท ไม่อยากใส่เงินเพิ่มอีกแล้วเอากำไรไปทำธุรกิจอย่างอื่นดีกว่า โดยปัจจุบันซื้อขายหุ้นผ่านโบรกเกอร์ 4 แห่ง ได้แก่ บล.ซีมิโก้, บล. ธนชาติ, บล.โกลเบล็ก และ บล.เคจีไอ

"เหตุผลที่จะเน้นถือหุ้นระยะกลางมากขึ้นเพราะมองธุรกิจหลายๆ อย่างที่ไม่ค่อยดีในปี 2553 จะเติบโตโดดเด่นในปี 2554 เป็นผลพวงมาจากการอัดฉีดเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจของภาครัฐ เท่าที่มองกลุ่มพลังงาน ก่อสร้าง และสถาบันการเงิน คงได้รับผลประโยชน์มากที่สุด"

ในช่วง 2-3 ปีนี้ตลาดหุ้นเปลี่ยนไป สง่าบอกว่าตัวเองเล่นหุ้นมา 7 ปี มีหลายสิ่งหลายอย่างไม่เป็นไปตามที่หวังทำให้ความคิดเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อก่อนราคาหุ้น BANPU อยู่แถว 300 บาท ปีหนึ่งเทรดหุ้นตัวนี้ 30-40 รอบ แต่เดี๋ยวนี้บ้านปูราคา 800 บาท เล่นไม่กี่รอบก็ได้กำไรเท่าๆ กัน

สรุปว่า "ซื้อแล้วถือ" เผลอๆ ได้กำไรเยอะกว่าด้วยซ้ำ

นักลงทุนรายนี้เริ่มตระหนักว่าอายุก็มากขึ้นทุกวัน ฉะนั้นก็ควรจะมีอะไรเป็นของตัวเอง ไม่ใช่หวังพึ่งเงินจากตลาดหุ้นเพียงอย่างเดียว ทั้งความเสี่ยงในปีนี้ก็เพิ่มสูงขึ้นกว่าช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาอยากลดความเสี่ยงและต้องการหันไปทำธุรกิจส่วนตัว ล่าสุดเขามีแผนจะทำเว็บไซต์เกี่ยวกับอาหารร่วมกับ “แซน” พนมกร ตังทัตสวัสดิ์ ภายใต้ชื่อ hellotaste.com คาดว่าจะเปิดตัวปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2554 หลังจากร่วมทุนกันทำเว็บไซต์เกี่ยวกับตลาดหุ้น (hooninside.com) มาแล้ว

"ผมสนใจธุรกิจพวกนี้มานานแล้วตอนนี้ถอนตัวออกจากงานบริหารธุรกิจโบรกเกอร์ประกันภัยแล้วแต่ตระกูลตั้งจันสิริยังถือหุ้น 30% เหมือนเดิม จริงๆ แซนคิดโปรเจคใหญ่กว่านี้เขาอยากทำทีวี แต่คงต้องค่อยเป็นค่อยไป แซนเขาเก่งด้านไอที ส่วนผมเป็นพวกเจ้าไอเดีย มีแผนดีๆ อยู่ในหัวเต็มไปหมดจึงอยากลดเรื่องหุ้นมาทำธุรกิจส่วนตัวมากขึ้น"

นอกจากนี้สง่ายังจะกระจายพอร์ตไปลงทุนในทองคำมากขึ้น เขาตั้งใจว่าจะค่อยๆ สะสมทองคำให้อยู่ในระดับ 20% ของพอร์ตจากปัจจุบันยังมีอยู่นิดเดียวโดยเริ่มซื้อสะสมมาตั้งแต่ทองบาทละ 16,000 บาท

"ผมเชื่อว่าภายใน 5 ปีข้างหน้า ทองคำต้องทะยานแตะบาทละ 30,000 บาท จากตอนนี้ที่อยู่ราวๆ บาทละ 20,000 บาท ในอนาคตคงไม่มีอะไรให้ผลตอบแทนดีไปกว่าทองคำอีกแล้ว"

สง่ายอมรับว่า ตัวเองมองตลาดหุ้นปี 2553 ผิดไปประเมินว่าดัชนีไม่น่าจะวิ่งไปถึง 1,000 จุด (ต่ำสุด 679.45 จุด สูงสุด 1,055.25 จุด ปิดสิ้นปี 2553 ที่ 1,032.76 จุด) ทั้งการเมืองและเศรษฐกิจช่วงต้นปีดูไม่ดี แต่สุดท้ายก็พลิกความคาดหมายมีเงินต่างชาติไหลเข้ามา (ผลพวงจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา) และเชื่อว่าจะเป็นแบบนี้ไปอีกสักระยะ

ถามถึงมุมมองตลาดหุ้นปี 2554 เขามองว่าหากการเมืองไม่มีอะไรรุนแรง มีการยุบสภาเลือกตั้งใหม่เป็นไปตามขั้นตอน และเศรษฐกิจยังเติบโตได้ต่อเนื่อง 4.5% มีโอกาสเห็น SET Index ยืน 1,200-1,400 จุด หากทุกอย่างตรงกันข้ามตลาดหุ้นคงปรับตัวลดลงแต่คงไม่ต่ำกว่า 1,000 จุด

สำหรับหุ้นเด่นในดวงใจนักลงทุนรายนี้ยังชอบกลุ่มยานยนต์ เพราะค่ายรถยนต์หลายค่ายเตรียมออกรถรุ่นใหม่ โดยเฉพาะหุ้นอินเตอร์ไฮด์ (IHL) ที่ทำเบาะหนังให้รถยนต์หลายรุ่นถือว่าเป็นเจ้าตลาดในเมืองไทยก็ว่าได้ หุ้นอาปิโก้  ไฮเทค (AH) ก็น่าสนใจ
"หุ้น AH ผมเชื่อในตัวผู้บริหารคุณเย็บ ซู ชวน พอรู้เบื้องหลังเขามาบ้างที่สำคัญปีนี้อาจมีโรงงานหลายแห่งย้ายฐานการผลิตมาเมืองไทย AH ก็คงได้ประโยชน์ตามไปด้วย ผมตั้งใจจะถือหุ้น 2 ตัวนี้ (AH และ IHL) แบบยาวๆ จากเดิมที่ถือระยะปานกลาง"

สำหรับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ชอบหุ้นพฤกษา เรียลเอสเตท (PS) มั่นใจในตัวคุณทองมา วิจิตรพงศ์พันธุ์ ที่จะนำบริษัทโกอินเตอร์ บริษัทเขาโดดเด่นในเรื่องเทคโนโลยีในการสร้างบ้านเสร็จเร็ว ตัวนี้ก็ลงทุนอยู่ อีกกลุ่มที่ชอบคือกลุ่มอาหารชอบหุ้น TUF มากกว่าหุ้น CPF ไม่ใช่ว่าเป็นบริษัทของคุณลุง แต่หุ้น TUF "ไม่มีเจ้ามือ" ราคาหุ้นขึ้นลงตามปัจจัยพื้นฐาน ที่สำคัญจ่ายเงินปันผลดีต่อเนื่อง

"ผมไม่คิดจะขายหุ้น TUF จนกว่าราคาจะขึ้นไปแตะ 100 บาท" เขาพูดทีเล่นทีจริง

สง่าทิ้งท้ายบทสนทนาว่า คุณพ่อ (ชวน ตั้งจันสิริ) เคยขาดทุนหุ้น 85% ตอนวิกฤติต้มยำกุ้งปี 2540 ทำให้คุณพ่อเปลี่ยนมุมมองการลงทุนจากเล่นสั้นมาเป็นลงทุนระยะกลางถึงยาว เพราะท่านต้องการเอาเวลาไปทำงานมากกว่า  "ผมเองก็คงเดินตามแนวทางคุณพ่อคือ ทำงานเป็นหลัก เล่นหุ้นเป็นรอง"
-------------------------

คติประจำตัว "อย่าโลภ เดี๋ยวลาภหาย"


นักลงทุนที่ผ่านการ "เก็งกำไร" มาอย่างโชกโชนอย่าง สง่า ตั้งจันสิริ เขาย่อมมี "คติ" ไว้ "เตือนสติ" ตัวเองในเวลาที่ความโลภก่อตัวขึ้นในจิตใจ คติการลงทุนประจำตัววันนี้เขาบอกว่ายังคงเหมือนที่ผ่านมานั่นคือ "อย่าโลภ เดี๋ยวลาภหาย"

สำหรับเคล็ดลับการลงทุนของสง่า 1.ต้องกระจายความเสี่ยง แบ่งพอร์ตลงทุนออกเป็น "สามส่วน" คือ สั้น-กลาง-ยาว ถ้าเป็นหุ้นบลูชิพชั้นดี "เกรดเอ" ถ้าถือต้นทุนต่ำก็จะถือยาว 2-3 ปี โดยจะดูที่ Dividend Yield ถ้าอยู่ประมาณ 5-6% ก็จะถือไว้กินปันผล ถ้าเป็นพอร์ต "ระยะสั้น" ก็จะเน้นเล่นหุ้นหวือหวาโดยจะ "เล่นตามข่าว" (หุ้นมีสตอรี่) ถ้าเล่นสั้นจะไม่ถือนาน แต่บางครั้งจะสลับตัวเล่น "กลาง-สั้น" ตามความเหมาะสม

2.เมื่อถึงเป้าหมายต้องพอ สิ่งที่นักลงทุนรายนี้ท่องเป็นประจำคือ "อย่าโลภมาก" หุ้นทุกตัวที่เข้าไปลงทุนจะต้องตั้ง "เป้าหมายกำไร"  เมื่อถึงเป้าก็ต้อง "ขาย" ห้ามยื้อ (โลภ) โดยปกติจะตั้งไว้ที่ 20%

3.ต้อง Cut Loss ให้เป็น การลงทุนจะตั้งจุด Stop Loss (จุดหยุดขาดทุน) ไว้ที่ลง 10% ต้องตัดขายทันที ที่เล่นมาเคย Cut Loss หนักสุด 3 ล้านบาทไม่งั้นขาดทุนแน่ๆ 6-7 ล้านบาท แต่ถ้ารีบขายก่อนอาทิตย์หนึ่งจะขาดทุนแค่ล้านเดียว ประสบการณ์เลยสอนว่าต้องกล้าตัดสินใจ "ขาย" ในช่วงหุ้นเป็นขาลง

4.รู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าว หลักการจำกัดความเสี่ยงข้อหนึ่งก็คือ อย่าไปลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้ หรือรู้น้อยกว่าคนอื่น จะต้องรู้ให้มากกว่าคนอื่นหนึ่งก้าวเสมอ ข้อจำกัดของตลาดหุ้นไทยคือ ตลาดเล็กและคนมีเงินเยอะๆ สามารถคุมตลาดได้ ส่วนเราคุมตลาดไม่ได้ถ้ารู้ทีหลังค่อนข้างเสียเปรียบ ก่อนลงทุนจำเป็นต้อง "เช็คข่าว" ต่อสายคุยกับนักวิเคราะห์คุยกับคนในวงการหาข่าวก่อนลงทุนจะปลอดภัย เราไม่จำเป็นต้องรู้มากที่สุดแต่ต้องไม่น้อยกว่านักลงทุนคนอื่น

5.ต้องมีเงินสดติดกระเป๋าไว้เสมอ ในตลาดหุ้นอะไรก็ไม่แน่นอน ต้องมี "เงินสดติดกระเป๋า" ไว้ตลอดเวลา ถ้ามีเงิน 100 บาท ส่วนตัวจะต้องเก็บเงินสดไว้ 40% เสมอ เพราะโอกาส "ซื้อของถูก" ไม่ได้มีมาบ่อยๆ “จง (กล้า) เข้าซื้อเมื่อหุ้นตก และจงขายออกเมื่อหุ้นขึ้น”

"ผมมองว่านักลงทุนไทยส่วนใหญ่ใจไม่เย็นพอ และบางคนเอาเงินร้อนมาเล่นแต่ผมจะใช้เงินเย็นมาลงทุน และไม่เคยซี้ซั้วจะค่อยๆ ดูทีละตัว"

6.เหนือทุกข้อคือ "ต้องมีวินัย" ความจริงของชีวิตนักลงทุนต้องมีทั้งสีขาวและสีดำ มีขึ้นและมีลง แต่คนที่จะยืนบนเวทีนี้ได้ในระยะยาวสำคัญที่สุดต้อง "มีวินัย"

"ขาดทุนต้องรับกับมันได้ ถ้ากำไรอย่าดีใจกับมันมาก เห็นหุ้นวิ่งอย่าแหกกฎของตัวเอง เหมือนกฎหมายถ้าใครไม่ทำตามมันก็มีบทลงโทษรออยู่ ถ้าคิดว่าทำตามไม่ได้ก็อย่าตั้งกฎให้ตัวเอง"

จากประสบการณ์ 7 ปีในตลาดหุ้น ถ้าอยากได้กำไรเยอะๆ ต้องเล่นหุ้นขนาดกลางหรือเล็กที่ "พื้นฐานดี" และธุรกิจกำลังจะ "เทิร์นอะราวด์" แต่ราคาหุ้นยังต่ำ หุ้นพวกนี้เวลาขึ้นมีโอกาสได้กำไรเกิน 20% ในเวลาไม่นานนัก แต่ถ้าเป็นหุ้นขนาดใหญ่จะมีโอกาสไม่บ่อย และการลงทุนในตลาดหุ้น คือ การอยู่กับอนาคต อย่าดูแต่ปัจจุบันต้องมองไปข้างหน้าเสมอ



ผู้ตั้งกระทู้ dr_morky (dr_morky-at-hotmail-dot-com) กระทู้ตั้งโดยสมาชิก โพสต์และแสดงความเห็นเฉพาะสมาชิกเท่านั้น :: วันที่ลงประกาศ 2011-01-28 16:39:48 IP : 203.154.146.54


Copyright © 2010 All Rights Reserved.